จุลสารสาขาวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ ฉบัีบที่ 3 ปี 2552
 

มาตรฐานงานสุขศึกษาของศูนย์สุขภาพชุมชน
และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับผลการพัฒนามาตรฐาน

รองศาสตราจารย์ ดร.นิตยา เพ็ญศิรินภา

บทนำ

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับพุทธศักราช  2540  สืบเนื่องมาถึงรัฐธรรมนูญ ฉบับพุทธศักราช 2550 ได้กำหนดให้รัฐบาลต้องดำเนินการส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาระบบสุขภาพที่เน้นการสร้างเสริมสุขภาพอันนำไปสู่สุขภาวะที่ยั่งยืนของประชาชน รวมทั้งจัดและส่งเสริมให้ประชาชนได้รับการบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมให้เอกชน ชุมชนมีส่วนในการพัฒนาสุขภาพและการจัดบริการสาธารสุขโดยผู้มีหน้าที่ให้บริการดังกล่าว ซึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรมย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550) สถานบริการสาธารณสุขทุกระดับจึงจำเป็นต้องจัดการให้บริการมีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน ทั้งนี้บริการด้านการพัฒนาพฤติกรรมที่ถูกต้องเหมาะสม ต้องใช้มาตรการการดำเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ประชาชนเกิดการเรียนรู้  มีทัศนคติที่เหมาะสม ซึ่งเอื้อให้บุคคล  กลุ่มบุคคล และประชาชนมีพฤติกรรมที่มีผลต่อการเสริมสร้างและปกป้องสุขภาพ  ตลอดจนแก้ไขปัญหาสุขภาพอย่างเหมาะสมให้แก่ตนเอง  กลุ่มบุคคล และชุมชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อการมีสุขภาพดีต่อไป  หากสถานบริการสาธารณสุข  มีการดำเนินงานสุขศึกษาหรือบริการสุขศึกษาที่มีคุณภาพแก่กลุ่มเป้าหมาย  ได้แก่  ผู้ป่วย  ญาติ  เจ้าหน้าที่  และประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ โดยการสร้างทักษะให้มีความสามารถในการปฏิบัติพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค  จะส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายมีพฤติกรรมสุขภาพที่ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคก่อนวัยอันควร  หรือไม่ป่วยเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้  และหากเจ็บป่วยก็สามารถมีพฤติกรรมการดูแลรักษาและการฟื้นฟูสมรรถภาพเพื่อป้องกันการป่วยซ้ำ การให้บริการสุขศึกษาที่มีคุณภาพแก่ประชาชนจึงมีความสำคัญต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาสาธารณสุข

อย่างไรก็ตาม ในอดีตที่ผ่านมา การดำเนินงานสุขศึกษายังไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน และไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมวิถีชีวิตและภูมิปัญญาในเรื่องสุขภาพ เจ้าหน้าที่ขาดแรงจูงใจ ทำให้เห็นความสำคัญน้อยกว่างานอื่น ๆ  อีกทั้งเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบงานสุขศึกษามีหลากหลายในสาขาวิชาชีพ เช่น นักวิชาการสาธารณสุข พยาบาลวิชาชีพ และเจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชน ซึ่งมิได้ผ่านหลักสูตรการเรียนหรืออบรมด้านสุขศึกษาหรือการพัฒนาพฤติกรรมแต่อย่างใด แต่ต้องมารับผิดชอบงานสุขศึกษาตามหน้าที่  และไม่มีการประชุมหรืออบรมเกี่ยวกับงานสุขศึกษาโดยตรง นับว่าผู้รับผิดชอบงานสุขศึกษายังขาดความรู้และทักษะในการดำเนินงาน (สุจิตรา ก่อกิจไพศาล และคณะ, 2548: 54-56)

กระทรวงสาธารณสุข  มีบทบาทในการส่งเสริมสนับสนุนให้สถานบริการสาธารณสุขทุกระดับมีการพัฒนาคุณภาพบริการตามมาตรฐานบริการด้านต่าง ๆ  รวมถึงกองสุขศึกษาได้พัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาของสถานบริการสาธารณสุขเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพงานสุขศึกษา  โดยมุ่งหวังให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายมีความรู้ ทักษะ และพฤติกรรมในการดูแลสุขภาพของตนเอง  ครอบครัวและชุมชน   มาตรฐานงานสุขศึกษาของสถานบริการสาธารณสุขนับเป็นเครื่องมือ และแนวทางการพัฒนาคุณภาพบริการสุขศึกษาของสถานบริการสาธารณสุข  ซึ่งกองสุขศึกษาได้สร้างและพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาจนกระทั่งมีความมั่นใจในระดับหนึ่งว่า สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้  ถ้าสถานบริการสาธารณสุขนำมาตรฐานดังกล่าวไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพงานสุขศึกษาแล้ว   จะส่งผลให้ประชาชนมีความพึงพอใจต่อบริการสุขศึกษาของสถานบริการสาธารณสุขนั้น ๆ รวมทั้งผู้รับบริการสุขศึกษาจากสถานบริการที่ผ่านการรับรองคุณภาพงานสุขศึกษา  จะมีการเรียนรู้และพัฒนาทักษะที่จำเป็นด้านสุขภาพ  และมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์  ส่วนประชาชนที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรังจะสามารถป้องกันโรคแทรกซ้อนได้  และสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข  (กองสุขศึกษา, 2546 ข)

มาตรฐานงานสุขศึกษา คือ สิ่งที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานและวัดความสำเร็จของงานสุขศึกษา  ซึ่งประกอบด้วย  9  องค์ประกอบ  20  ดัชนีชี้วัด  โดยสถานบริการสาธารณสุขระดับปฐมภูมิ มีเกณฑ์ 66 เกณฑ์ และสถานบริการสาธารณสุขระดับทุติยภูมิและตติยภูมิมีเกณฑ์  75  เกณฑ์ (กองสุขศึกษา, 2546 ก) ดังนี้

องค์ประกอบที่ 1 นโยบายการดำเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

ดัชนีชี้วัด  1.1 การมีนโยบายการดำเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

ดัชนีชี้วัด  1.2  ลักษณะของนโยบายการดำเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

องค์ประกอบที่  2  ทรัพยากรการดำเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

ดัชนีชี้วัด  2.1 บุคลากรที่รับผิดชอบการดำเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

ดัชนีชี้วัด  2.2 คุณสมบัติของบุคลากรที่รับผิดชอบการดำเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

ดัชนีชี้วัด  2.3 งบประมาณเพื่อการดำเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

องค์ประกอบที่ 3  การพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศการดำเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

ดัชนีชี้วัด  3.1 ฐานข้อมูลด้านสุขศึกษาและพฤติกรรมสุขภาพ

ดัชนีชี้วัด  3.2 ฐานข้อมูลด้านสื่อสุขศึกษา

ดัชนีชี้วัด  3.3 ฐานข้อมูลด้านเครือข่ายการดำเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

องค์ประกอบที่  4  แผนการดำเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

ดัชนีชี้วัด  4.1 การมีแผนการดำเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

ดัชนีชี้วัด  4.2 ลักษณะของแผนการดำเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

องค์ประกอบที่  5  กิจกรรมสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

ดัชนีชี้วัด  5.1 การมีกิจกรรมสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ 

ดัชนีชี้วัด  5.2 ลักษณะของการจัดกิจกรรมสุขศึกษา

ดัชนีชี้วัด  5.3 การควบคุม กำกับกิจกรรมสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

องค์ประกอบที่  6  การนิเทศงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

ดัชนีชี้วัด  6.1 ระบบการนิเทศงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

ดัชนีชี้วัด  6.2  กลไกการนิเทศงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

องค์ประกอบที่  7  การประเมินผลการดำเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

ดัชนีชี้วัด  7.1ระบบการประเมินผลการดำเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

ดัชนีชี้วัด  7.2 กลไกการประเมินผลการดำเนินงานสุขศึกษาและพัฒนาพฤติดรรมสุขภาพ

องค์ประกอบที่  8  การเฝ้าระวังพฤติกรรมสุขภาพ

ดัชนีชี้วัด  8.1ระบบการเฝ้าระวังพฤติกรรมสุขภาพ 

ดัชนีชี้วัด  8.2 กลไกการเฝ้าระวังพฤติกรรมสุขภาพ  

องค์ประกอบที่  9  การวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขศึกษาและพฤติกรรมสุขภาพ

ดัชนีชี้วัด  9.1 การวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสุขศึกษาและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ

โดยตั้งแต่ ปี พ.ศ.2545 กองสุขศึกษาได้เริ่มดำเนินการด้วยการส่งเสริมสนับสนุนให้สถานบริการสาธารณสุขทุกระดับ มีการนำมาตรฐานงานสุขศึกษาไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพงานสุขศึกษา โดยใช้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมสนับสนุนการควบคุม และการศึกษาวิจัยพัฒนาควบคู่ไปอย่างต่อเนื่อง ในช่วงปีงบประมาณ 2546-2550 สถานบริการสาธารณสุขทุกระดับที่มีการพัฒนาคุณภาพงานสุขศึกษามีจำนวนทั้งสิ้น 5,093 แห่งทั่วประเทศ จำแนกเป็นโรงพยาบาล 520 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 63 ของโรงพยาบาลทั้งหมด สถานบริการสาธารณสุขระดับปฐมภูมิ หรือศูนย์สุขภาพชุมชน (ศสช.) 4,573 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 45.8 ของทั้งหมด ซึ่งในระหว่างปี 2547-2550 มีสถานบริการสาธารณสุขระดับปฐมภูมิ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานงานสุขศึกษาและมอบใบรับรองมาตรฐานงานสุขศึกษาไปแล้วจำนวน 285 แห่ง  คิดเป็นร้อยละ 2.9 ของจำนวนสถานบริการสาธารณสุขระดับปฐมภูมิทั้งหมด (กองสุขศึกษา, 2550) สำหรับผลการพัฒนาในปี 2550  มี ศสช. ที่แสดงเจตจำนงขอรับการประเมินรับรองในปี 2551 จำนวน 421 แห่ง ใน 36 จังหวัดทั่วประเทศ (กองสุขศึกษา, 2551 ข: 2-3)  จะเห็นได้ว่า ศสช. ซึ่งเป็นหน่วยบริการสุขภาพที่อยู่ใกล้ชิดประชาชน และมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคโดยใช้กระบวนการสุขศึกษาจำนวนมากที่ยังไม่ได้มีการพัฒนาคุณภาพงานสุขศึกษาจนถึงขั้นที่อยู่ในระดับดีมาก ที่สามารถส่งเข้ารับการประเมินและรับรองมาตรฐานงานสุขศึกษา  

เนื่องจากกองสุขศึกษาได้ให้การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนามาตรฐานสุขศึกษาของสถานบริการสาธารณสุขใน 50 จังหวัดเป้าหมายในปี 2551 หลากหลายช่องทาง โดยเฉพาะการสนับสนุนด้านการฝึกอบรมและเอกสารคู่มือให้แก่จังหวัดต่าง ๆ  รวมทั้งผู้เขียนในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยในการฝึกอบรมพัฒนาเรื่องมาตรฐานงานสุขศึกษาให้แก่สถานบริการสาธารณสุขในหลายจังหวัด ได้พบว่า ศสช. มีการมอบหมายบุคลากรให้รับผิดชอบดำเนินการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาที่มีคุณลักษณะที่หลากหลาย ระดับของการได้รับปัจจัยนำเข้า และกระบวนการดำเนินการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาในแต่ละหน่วยงานและจังหวัดมีความแตกต่างกัน ดังนั้น จึงสนใจที่จะศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ที่รับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษา ปัจจัยด้านหน่วยงาน ปัจจัยนำเข้า และกระบวนการ ว่ามีความสัมพันธ์กับผลการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาของ ศสช. หรือไม่ ตลอดจนปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะที่พบ เพื่อที่จะได้นำผลการศึกษาไปใช้ในการเสนอแนะแนวทางการสนับสนุน และพัฒนา ศสช.ให้มีการดำเนินงานสุขศึกษาได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน และส่งผลให้สถานบริการสามารถส่งเข้าประเมินรับรองมาตรฐานได้ตามเป้าหมายต่อไป

ผลการศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับผลการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาของศูนย์สุขภาพชุมชน

จากศึกษาด้วยการวิจัยเชิงสำรวจกับตัวอย่าง ศสช. สังกัดกระทรวงสาธารณสุข  โดยเก็บข้อมูลกับผู้รับผิดชอบงานสุขศึกษาของ ศสช. ใน 50 จังหวัดเป้าหมายของกองสุขศึกษา ในปีงบประมาณ 2551 ที่ยังไม่ผ่านการประเมินและรับรองมาตรฐานงานสุขศึกษา เลือก  ศสช. ตัวอย่างโดยการสุ่มอย่างง่าย 3 แห่ง ต่อ 1 จังหวัด รวม 150 แห่ง  เก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามที่ผ่านการทดสอบความเที่ยงแล้วโดยส่งทางไปรษณีย์ ระหว่างเดือน พฤษภาคม-กรกฎาคม 2551 ได้รับการตอบกลับ 133 แห่ง แบบสอบถามที่ตอบสมบูรณ์ มี 108 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 72 ของแบบสอบถามที่ส่งทั้งหมด  วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และการทดสอบไค-สแควร์

ผลการศึกษา พบว่า ผู้รับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาของ ศสช. ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุเฉลี่ย 37 ปี สมรสแล้ว จบการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยเป็นวิชาเอกสาธารณสุขศาสตร์  ดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานสาธารณสุขชุมชนและนักวิชาการสาธารณสุขในสัดส่วนใกล้เคียงกัน มีเพียงร้อยละ 6.5 ที่จบวิชาเอกสุขศึกษาโดยตรง  ผู้รับผิดชอบมีประสบการณ์ในงานสุขศึกษาเฉลี่ย 9.86 ปี เคยได้รับการอบรมเกี่ยวกับงานสุขศึกษา ร้อยละ 85.2 และรับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาของ ศสช. ในปัจจุบันตั้งแต่ 2 ปี หรือมากกว่า  สำหรับปัจจัยด้านหน่วยงาน พบว่า ศสช. ส่วนใหญ่มีการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาเป็นระยะเวลา 2 ปี หรือมากกว่า และครึ่งหนึ่งของ ศสช. มีผู้รับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานสุขศึกษาเพียง 1 คน ปัจจัยนำเข้าและกระบวนการในการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาของ ศสช. อยู่ในระดับสูง ร้อยละ 53.8 และ 63.8 ตามลำดับ   ส่วนผลการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาจากการประเมินตนเองอยู่ในระดับดีมากร้อยละ 39.8 ระดับดี ร้อยละ 37.0 ระดับพอใช้และไม่เข้าระดับ ร้อยละ 17.6 และ 5.6 ตามลำดับ

การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้รับผิดชอบงานสุขศึกษา ได้แก่ ประสบการณ์ในงานสุขศึกษา การได้รับการอบรม และระยะเวลาที่รับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษา ปัจจัยด้านหน่วยงาน ได้แก่ ระยะเวลาการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษา และจำนวนสมาชิกในคณะทำงานพัฒนามาตรฐานฯ  รวมทั้งปัจจัยนำเข้า และกระบวนการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษา มีความสัมพันธ์กับผลของการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาของ ศสช. อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

ส่วนปัญหาอุปสรรคที่สำคัญที่ผู้รับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาของ ศสช. ให้ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาอุปสรรคที่พบมาก ได้แก่

1) เจ้าหน้าที่ของ ศสช.มีน้อย แต่ภาระงานมีมาก จึงมักมอบหมายเจ้าหน้าที่ 1 คน รับผิดชอบงานสุขศึกษา ซึ่งต้องรับผิดชอบงานอื่น ๆ ด้วย (ร้อยละ 37.0) จึงเสนอแนะว่า ควรเพิ่มทีมรับผิดชอบงานสุขศึกษาเป็น 2-3 คน หรือให้เจ้าหน้าที่ทุกคนใน ศสช.ร่วมเป็นทีมรับผิดชอบ หรือให้เครือข่ายอำเภอมาช่วยเป็นทีมพี่เลี้ยง (ร้อยละ 12.0)

2) การฝึกอบรมผู้รับผิดชอบงานสุขศึกษายังไม่เพียงพอ บางแห่งเปลี่ยนคนรับผิดชอบบ่อยทำให้คนใหม่ยังไม่ได้รับการอบรม (ร้อยละ 15.7)  จึงเสนอแนะให้มีการฝึกอบรมเรื่องงานสุขศึกษาและมาตรฐานงานสุขศึกษาเพิ่มสำหรับคนใหม่ และมีการอบรมฟื้นฟูเป็นประจำต่อเนื่อง 1-2 ครั้งต่อปี (ร้อยละ 34.3)

3) ด้านการได้รับการสนับสนุนนโยบาย ทรัพยากร และวิชาการ มีการระบุว่าสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลแม่ข่าย (CUP) ยังขาดนโยบายที่ชัดเจน (ร้อยละ 15.7) และการสนับสนุนงบประมาณดำเนินงานสุขศึกษาไม่เพียงพอ (ร้อยละ13.9)  จึงเสนอแนะให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลแม่ข่ายมีนโยบายที่ชัดเจนและต่อเนื่อง โดยอาจบรรจุเป็นตัวชี้วัดของงาน ศสช. (ร้อยละ 10.2) รวมทั้งเพิ่มการสนับสนุนงบประมาณสุขศึกษา โดยควรแยกออกจากงบประมาณอื่น ๆ (ร้อยละ 21.3) สำหรับการสนับสนุนเอกสารคู่มือการพัฒนามาตรฐานฯ ที่ระบุว่า ได้รับการสนับสนุนน้อยหรือล่าช้า  (ร้อยละ 13.9)  จึงเสนอแนะให้มีการสนับสนุนเอกสารคู่มือเพิ่มอย่างต่อเนื่อง และควรปรับรูปแบบให้เข้าใจง่ายขึ้น โดยมีการยกตัวอย่างให้ง่ายต่อการนำไปปฏิบัติ (ร้อยละ 10.2)  และควรเพิ่มการนิเทศของจังหวัดและกองสุขศึกษาเป็นประจำปีละ 1-2 ครั้ง (ร้อยละ 9.3)

4) ด้านกระบวนการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาที่เป็นปัญหามากที่สุด คือ การจัดเตรียมเอกสารหลักฐานที่พบว่าเน้นเอกสารมากเกินไป ซ้ำซ้อนในบางองค์ประกอบ ทำให้ผู้ปฏิบัติยุ่งยากเสียเวลา (ร้อยละ 16.6)  จึงเสนอแนะให้ปรับปรุงให้ง่ายขึ้น (ร้อยละ 13.0)  เช่น ลดองค์ประกอบหรือลดความซ้ำซ้อน เน้นการวัดที่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของประชาชนมากขึ้น รวมทั้งมีการเสนอตัวอย่างหรือแบบฟอร์มการนำเสนอหลักฐานที่เป็นแนวทางกับผู้ปฏิบัติอย่างชัดเจน และนำขึ้นเผยแพร่ทางเว็บไซต์

ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้

เนื่องจากผลการศึกษา พบว่า ประสบการณ์ในงานสุขศึกษาและระยะเวลาที่รับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษา รวมทั้งการได้รับการฝึกอบรมของผู้รับผิดชอบฯ  มีความสัมพันธ์กับผลการพัฒนามาตรฐานของ ศสช. ดังนั้น ศสช. จึงควรมอบหมายบุคคลหรือทีมที่มีประสบการณ์การทำงานสุขศึกษาให้รับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ควรมีการเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบบ่อยในแต่ละปี รวมทั้งต้องจัดให้ผู้รับผิดชอบได้รับการฝึกอบรมด้านสุขศึกษา และการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาก่อนเริ่มดำเนินงาน และมีการฝึกอบรมฟื้นฟูเป็นประจำทุกปี  นอกจากนี้ ศสช. ควรพัฒนาทีมและศักยภาพของทีมงานใน ศสช. และเครือข่าย ศสช. ในอำเภอ  ในการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษา เพื่อแก้ไขอุปสรรคของการมีบุคลากรน้อยและต้องรับภาระงานจำนวนมาก ซึ่งผลการวิจัย พบว่า จำนวนสมาชิกในทีมหรือคณะทำงานยิ่งมีมาก โอกาสที่ ศสช. จะมีผลการพัฒนามาตรฐานในระดับดีมากยิ่งสูงขึ้น 

สำหรับกองสุขศึกษา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และโรงพยาบาลแม่ข่ายควรเพิ่มความครอบคลุมและความต่อเนื่องในการจัดฝึกอบรมเรื่องสุขศึกษาและการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาให้กับผู้รับผิดชอบในระดับต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ปีละ 1-2 ครั้ง  ควรเพิ่มการสนับสนุนด้านนโยบาย โดยให้เป้าหมายการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาเป็นตัวชี้วัดในงาน ศสช. มีการกำหนดเป้าหมายการเข้ารับการประเมินและรับรองมาตรฐานฯ ของ ศสช. ในเครือข่ายและในจังหวัดที่ชัดเจน  เพิ่มการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานสุขศึกษาที่แยกจากงบประมาณอื่น ๆ รวมทั้งเพิ่มการนิเทศสนับสนุนผู้ปฏิบัติงานใน ศสช. อย่างสม่ำเสมอ 

นอกจากนี้ กองสุขศึกษาควรปรับปรุงตัวมาตรฐานให้มีความกระชับ ลดความซ้ำซ้อนขององค์ประกอบ เพิ่มการสนับสนุนเอกสาร/คู่มือ ที่มีการปรับปรุงให้ทันสมัย เข้าใจง่ายและเพิ่มตัวอย่างที่ชัดเจน  รวมทั้งปรับปรุงกระบวนการจัดเตรียมหลักฐานเพื่อขอรับการประเมินให้กระชับ ไม่ซ้ำซ้อน และง่ายต่อผู้ปฏิบัติ โดยอาจจัดทำแบบฟอร์ม และตัวอย่างการจัดเตรียมหลักฐานเผยแพร่ในเว็บไซต์ ควรเน้นหลักฐานที่ผลลัพธ์ของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนเป้าหมายมากขึ้น
            
การศึกษานี้มีข้อจำกัดที่จำนวนตัวอย่างน้อย และวิธีการสุ่มที่แบ่งชั้นจาก 2 กลุ่ม คือ ศสช.ที่ส่งเข้ารับการประเมินและรับรองในปี 2551 และที่ยังไม่ขอรับการประเมินและรับรองฯ เพื่อให้ได้ข้อมูลจาก ศสช. ที่มีผลการประเมินตนเองฯ  ที่มีมีระดับต่าง ๆ กันใกล้เคียงกันเพียงพอที่จะศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยกับผลของการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาจากการประเมินตนเองฯ  ดังนั้น ปัจจัยต่าง ๆ รวมทั้งผลของการประเมินตนเองในการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาที่ได้จากการวิจัยจึงไม่ได้เป็นตัวแทนหรือสะท้อนสถานการณ์ของการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาของ ศสช. ทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาทำให้ทราบปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับผลของการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาของ ศสช. ตลอดจนปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาของ ศสช.ให้ผ่านการประเมินและรับรองในอนาคต

------------------------

กิตติกรรมประกาศ 

ขอขอบคุณกองสุขศึกษา กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ที่สนับสนุนงบประมาณการวิจัยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเก็บรวบรวมข้อมูลประเมินผลโครงการส่งเสริมพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาปีงบประมาณ 2551 ขอบคุณผู้รับผิดชอบงานสุขศึกษาของสำนักงานสาธารณสุขในการประสานงานการเก็บข้อมูล และผู้รับผิดชอบงานสุขศึกษาของศูนย์สุขภาพชุมชนที่ให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม

-----------------------

เอกสารอ้างอิง

กองสุขศึกษา  (2546 ก) มาตรฐานงานสุขศึกษาของสถานบริการสาธารณสุข โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตร

กองสุขศึกษา  (2546 ข) การพัฒนามาตรฐานงานสุขศึกษาของสถานบริการสาธารณสุขระดับปฐมภูมิ ปีงบประมาณ 2546

กองสุขศึกษา (2550) ทำเนียบสถานบริการสาธารณสุขที่ได้รับการรับรองมาตรฐานงานสุขศึกษาในปีงบประมาณ 2547-2550

กองสุขศึกษา (2551 ก)  การอบรมผู้ตรวจสอบประเมินมาตรฐานงานสุขศึกษา 15-17 มกราคม ณ โรงแรมห้วยขาแข้ง เชษฐ์ศิลป์ จังหวัดอุทัยธานี 2551 
กองสุขศึกษา (2551 ข)  การประชุมสัมมนา การประเมินและรับรองมาตรฐานงานสุขศึกษา 11 กรกฎาคม 2551 ณ โรงแรมริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี 2551  

สุจิตรา  ก่อกิจไพศาลและคณะ  (2548) การวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบการดำเนินงานสุขศึกษาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานงานสุขศึกษาของสถานบริการสาธารณสุข  จังหวัดสุราษฎร์ธานี