มุมสบายๆ โดย รศ.ดร.พรทิพย์ เกยุรานนท์
 

มาตรฐานมอก.18001: 2554

โดย  รองศาสตราจารย์สราวุธ สุธรรมาสา

             นับตั้งแต่มาตรฐาน ISO 9000 ว่า ด้วยเรื่อง มาตรฐานการจัดการคุณภาพ ได้แพร่หลายไปในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งในประเทศไทย กระแสการตื่นตัวในเรื่องระบบการจัดการก็เกิดขึ้นในประเทศต่าง ๆ ซึ่งก็หนีไม่พ้นกรณีประเทศไทยเรา ถ้ายังจำกันได้ในขณะนั้น (หลายสิบปีมาแล้ว) เวลาผ่านหน้าโรงงาน หรืออ่านโฆษณา จะพบข้อความในทำนองว่า ที่นี้ (โรงงาน) ได้รับการรับรองมาตรฐานระบบคุณภาพ กระแสความสนใจในเรื่อง มาตรฐานระบบการจัดการนี้เอง นำไปสู่ความตั้งใจของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานในขณะนั้น ที่จะพัฒนาเป็นมาตรฐานการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยของประเทศไทยขึ้นมา จึงได้มีการร่วมมือของกระทรวงที่เกี่ยวข้องลงนามความร่วมมือ ที่จะพัฒนามาตรฐานที่ว่านี้ และมอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม รับผิดชอบในการกำหนดมาตรฐานการจัดการนี้ขึ้น สมอ. ได้ตั้งคณะกรรมการวิชาการที่ 893 เพื่อทำหน้าที่ยกร่างมาตรฐานที่ตั้งชื่อว่า "มาตรฐานระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย :  ข้อกำหนด" เรียกเป็นรหัสว่า มอก.18000: 2540 (เลข 2540  คือ ปีที่ประกาศใช้ ที่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา) เบื้องหลังการจัดทำมาตรฐานนี้ เพื่อเป็นการพูดถึงเบื้องหลังการถ่ายทำเกี่ยวกับที่มาที่ไปของการจัดทำ และยกร่างมาตรฐานนี้ อันเป็นเกร็ดความรู้ที่คิดว่าน่าจะหาอ่านจากที่อื่นไม่ได้ ในโอกาสที่มีการปรับปรุงมาตรฐานนี้เป็นฉบับที่สองในปี 2554 จึงขอเล่าเรื่องเบื้องหลังบางประการเท่าที่ผู้เขียนในฐานะกรรมการยกร่างคนหนึ่ง ได้ยินได้ฟังมา หากผิดไปก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ดังนี้

1. ทำไมจึงใช้ตัวเลขเป็น 18000 จะว่าไปแล้วก็มีหลายคนถามว่าทำไม ISO จึงกำหนดอนุกรมมาตรฐานคุณภาพเป็น 9000 และอนุกรมมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมเป็น 14000 ผู้เขียนไม่ได้ค้นคว้าเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น จึงไม่ทราบที่มาที่ไป ทีนี้พอมีแรงผลักดันจากกระทรวงแรงงานที่จะทำมาตรฐานการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ผู้เขียนจำได้ว่า ข่าวที่ออกมาจากกระทรวงแรงงานที่ปรากฎทางสื่อมวลชนและที่ผู้เกี่ยวข้องพูด ๆ กัน คือ จะทำมาตรฐาน ISO 18000 (เน้นว่าตอนนั้นพูดกันโดยใช้คำว่า ISO ทั้ง ๆ ที่ในขณะนั้นทาง ISO เองยังไม่มีมติเลยว่าจะทำมาตรฐานการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย) ดังนั้น เมื่อ สมอ. ตั้งคณะกรรมการวิชาการคณะหนึ่งมายกร่างมาตรฐานนี้ ก็ใช้เลขเป็น 18000  
มาตั้งแต่นั้น ตกลงอ่านมาถึงตรงนี้ก็ไม่รู้ว่าตัวเลขนี้มาอย่างไรแน่ รู้แต่ว่าพูดกันไปพูดกันมาโดยใช้เลข 18000 ก็เลยใช้กันตามกันไป

2. ทำไมเปลี่ยนตัวเลขจาก 18000 มาเป็น 18001 มาตรฐานระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยฉบับแรกของประเทศไทยประกาศใช้เมื่อ ปี 2540 และใช้รหัสเป็น 18000 เมื่อประกาศใช้ได้ไม่นาน (ไม่กี่เดือน) ทางคณะกรรมการวิชาการได้ประชุมร่วมกับโรงงานต่าง ๆ ที่มีความสนใจจะพัฒนาระบบการจัดการนี้ในโรงงานของตน และได้ข้อตกลงว่า จะมีการปรับปรุงมาตรฐานให้สอดคล้องกับมาตรฐาน ISO 9000 และ ISO14000 มากยิ่งขึ้น เพื่อทำให้ผู้ใช้มาตรฐาน (คือ โรงงาน) มีความเข้าใจในตัวมาตรฐานมากยิ่งขึ้น และเป็นแนวทางที่จะทำให้สามารถผสมผสานทั้งสามระบบการจัดการเข้าด้วยกันได้ง่ายขึ้น ด้วยเหตุนี้ เมื่อทำการปรับปรุงมาตรฐานมอก. นี้ จึงเปลี่ยนตัวเลขให้สอดคล้องกับตัวเลขที่ใช้อยู่ในระบบ ISO 9000 และระบบ ISO14000 ซึ่งในขณะนั้นมาตรฐานที่เป็นข้อกำหนด (Specification) ใช้ตัวเลข 9001 และ 14001 ตามลำดับ และมาตรฐานที่เป็นข้อแนะนำ (Guideline ) ใช้ตัวเลข 9004 และ 14004 ตามลำดับ ดังนั้น ในมาตรฐานฉบับใหม่นี้ จึงกำหนดเป็นอนุกรม 18000 และรหัสของมาตรฐานที่เป็นข้อกำหนดและข้อแนะนำ ก็ใช้เป็นเลข 18001 และ 18004 ตามลำดับ แต่มาตรฐานมอก.18001 ประกาศใช้ก่อนในปี 2542 (ส่วนมอก.18004 ประกาศใช้ในปี 2544) และใช้เรื่อยมาจนมาปรับปรุงเป็นฉบับใหม่อีกครั้งในปี 2554

             อย่างไรก็ตาม ในทางปฎิบัติแล้ว คนทั่วไปเวลาพูดถึงมาตรฐานนี้ ก็อาจพูด (หรือแม้กระทั่งเขียน) ว่าทำมาตรฐาน 18000 ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจกันว่า คือการทำมาตรฐาน 18001 นั่นเอง (หมายเหตุ: ในอนุกรมมอก.18000 นี้ ไม่มีการกำหนดเป็นมาตรฐานรหัส 18002 และ 18003 เหมือนเช่นกรณีมาตรฐานระบบคุณภาพและระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม และต่อมาจึงมีการกำหนดมาตรฐานว่าด้วยผู้ตรวจประเมินเป็นมอก.18012 ในปี 2548 ตามด้วยมาตรฐานสุดท้ายเป็นมาตรฐานว่าด้วยการตรวจประเมิน คือ มอก.18011 ที่ประกาศใช้ในปี 2549 มีข้อสังเกตว่าเลขรหัสทั้งสองนี้นำมาจากมาตรฐาน ISO ที่ประกาศใช้มาก่อนแล้ว และในกรณีของประเทศไทยที่ประกาศใช้ มอก.18012 ก่อนมอก.18011 ก็เพราะความต้องการที่จะดูแลคุณภาพมาตรฐานของผู้ตรวจประเมิน ที่จะไปทำหน้าที่นี้ ซึ่งในขณะนั้นมีโรงงานจำนวนมากกำลังต้องการการรับรองระบบมอก.18001 จึงมีความต้องการผู้ตรวจประเมินมาก)

3. มาตรฐานที่ใช้เป็นต้นแบบในการยกร่างมอก.18000 มาตรฐานระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยฉบับแรกของประเทศไทยใช้เวลาเขียนเป็นปี เวลาที่หมดไปจะเป็นเรื่องการขัดเกลาภาษาเขียนเป็นส่วนใหญ่ และเนื่องจากใช้มาตรฐานของต่างประเทศ คือ มาตรฐานของประเทศสหราชอาณาจักร (คือ BS 8800: 1996) มาเป็นต้นแบบ จึงทำให้ยิ่งต้องใช้เวลาในการตรวจสอบว่า มาตรฐานที่ยกร่างนี้ไม่แตกต่างไปจากต้นแบบเดิม สำหรับเหตุผลที่ทางสมอ. นำมาตรฐานของประเทศสหราชอาณาจักรมาเป็นต้นแบบนั้น ก็เพราะว่ามาตรฐาน ISO 9000 และ ISO 14000 ล้วนมีต้นแบบมาจากมาตรฐานของประเทศนี้ทั้งสิ้น (คือ BS 5750 และ BS 7750 ตามลำดับ) สมอ.จึงคาดการณ์ว่าหาก ISO จะกำหนดมาตรฐานอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ก็คงจะนำมาตรฐาน BS 8800 มาเป็นต้นแบบแน่ ดังนั้น หากประเทศไทยชิงทำมาตรฐานของเราขึ้นมาก่อน ก็ย่อมได้เปรียบประเทศอื่น ๆ

4. ทำไมไม่นำหลาย ๆ มาตรฐานที่ดี ๆ มารวม ๆ กัน จะทำให้ประเทศไทยมีมาตรฐานที่ดีที่สุด นี้เป็นคำถามหนึ่งที่ถามกันในที่ประชุมครั้งแรกของคณะกรรมการวิชาการกับเลขาธิการสมอ. คำตอบที่ได้ คือ กลัวว่าจะได้มาตรฐานที่ดีเกินไปจนหลายโรงงานจะไม่สามารถทำได้ (เพราะว่าทำยากเกินไป) การกำหนดมาตรฐานนั้นควรเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่ทุกคน (โรงงาน) สามารถทำได้ ในระยะต่อ ๆ ไปจึงค่อยปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิม

             การเปรียบเทียบระหว่างมอก.18001: 2542 และมอก.18001: 2554
ผู้เขียนมีความเข้าใจว่าคณะกรรมการยกร่างมาตรฐานฉบับใหม่ได้ยึดมาตรฐาน OHSAS 18001 (ซึ่งมี BSI เป็นผู้พัฒนาหลัก) มาเป็นต้นแบบ เพราะดูเนื้อหาของมาตรฐานใหม่มีความคล้ายกันมากกับมาตรฐานที่กล่าวถึง ในที่นี้จะได้วิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างมาตรฐานฉบับเดิมและฉบับใหม่ว่า เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ในที่นี้จะวิเคราะห์ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เป็นเรื่องชัดเจนว่าต่างไปจากเดิมหรือมีการเพิ่มหรือตัดสาระใดออก หรือข้อกำหนดใดที่ยังคงสาระเดิมแต่เปลี่ยนรูปแบบการเขียน รายละเอียดมีดังนี้

1. สาระที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
1.1 สิ่งที่เห็นชัดเจน คือ การตัดข้อกำหนดเรื่องการทบทวนสถานะเริ่มต้นออกไป เรื่องนี้ไม่กระทบกับองค์กรที่ดำเนินตามมาตรฐานนี้มาก่อน เพราะตามมาตรฐานเดิมกำหนดว่า ให้ทำเฉพาะเริ่มต้นทำระบบ แต่ถึงจะตัดข้อกำหนดนี้ออกไป ในทางปฎิบัติขององค์กรที่จะทำระบบนี้ก็ต้องทำการทบทวนสถานะการดำเนินงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยของตนอยู่ดี

1.2 การตัดข้อกำหนดย่อยบางข้อออก แต่สาระของข้อกำหนดนั้นได้ถูกนำไปรวมไว้ในข้อกำหนดอื่น ได้แก่ การตัดข้อกำหนดที่ 4.5.5 การจัดซื้อจัดจ้าง (ไปเขียนรวมไว้ในข้อกำหนดที่ 4.4.6) หรือการตัดข้อกำหนดที่ 4.5.8 การเตือนอันตราย (ไปรวมมไว้ในข้อกำหนดที่ 4.4.6)

2. สาระที่มีการเพิ่มเติมหรือตัดออกหรือไปรวมในข้อกำหนดต่าง ๆ (หมายเลขข้อกำหนดต่อไปนี้ หากไม่ระบุเป็นอย่างอื่น ให้เข้าใจว่า คือ หมายเลขของข้อกำหนดของมาตรฐานฉบับใหม่)
2.1 เรื่องนโยบาย (ข้อกำหนดที่ 4.2) มีการเพิ่มเติมให้องค์กรนำนโยบายที่กำหนดนี้ ไปเป็นกรอบในการกำหนดวัตถุประสงค์ เรื่องนี้เป็นสิ่งดี เพราะทำให้นโยบายไม่เป็นเพียงกระดาษที่ติดอยู่หน้าห้องผู้บริหารหรือติดให้ห้องประชุมเท่านั้น แต่ (น่า) จะทำให้เกิดผลในทางปฎิบัติต่อไป

2.2 เรื่องการชี้บ่งอันตรายและการประเมินความเสี่ยง (ข้อกำหนดที่ 4.3.1) มาตรฐานใหม่เกรงว่าองค์กรจะไม่ทราบว่าการดำเนินการในข้อกำหนดนี้ ต้องครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง จึงเขียนระบุไว้เลยว่า ต้องครอบคลุมถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น 1) กิจกรรมที่ทำเป็นประจำและไม่ประจำ 2) กิจกรรมของทุกคนในสถานที่ทำงาน รวมถึงผู้รับเหมาและผู้มาเยี่ยมชม และ 3) พฤติกรรมมนุษย์ และปัจจัยทางด้านการยศาสตร์ เช่น ความสามารถของมนุษย์ เป็นต้น และยังเพิ่มเติมแนวคิดของการควบคุมความเสี่ยงว่าองค์กรต้องพิจารณาตามลำดับความสำคัญของวิธีการควบคุมที่จะนำมาใช้ โดยให้ความสำคัญกับเรื่องการกำจัด (อันตรายหรือความเสี่ยง) เป็นลำดับแรก ลำดับถัด ๆ ไป คือ การทดแทน การควบคุมทางวิศวกรรม การทำสัญลักษณ์/ คำเตือน และหรือการควบคุมด้านบริหารจัดการ และสุดท้าย คือ อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล    

2.3 เรื่องกฎหมายและข้อกำหนดอื่น ๆ (ข้อกำหนดที่ 4.3.2) ในมาตรฐานฉบับใหม่ได้เพิ่มเติมสาระว่าให้มีการกำหนดผู้รับผิดชอบและเก็บบันทึกเรื่องนี้ไว้ด้วย

2.4 เรื่องวัตถุประสงค์และแผนงาน (ข้อกำหนดที่ 4.3.3) เป็นข้อกำหนดที่มาแทนข้อกำหนดเดิมเรื่องการเตรียมการจัดการ เพื่อต้องการเน้นให้เห็นชัดเจนกว่าเดิมว่า การกำหนดวัตถุประสงค์นั้น นอกจากตัองสัมพันธ์กับนโยบายแล้ว ยังต้องมีการคำนึงถึงเรื่องกฎหมาย ข้อกำหนดอื่น ๆ ระดับความเสี่ยง ทางเลือกด้านเทคโนโลยีและด้านการเงิน และรวมถึงมุมมองของผู้มีส่วนได้เสียอีกด้วย จะเห็นว่าข้อกำหนดเขียนได้ดี ทำให้องค์กรมีแนวทางการกำหนดวัตถุประสงค์ได้เหมาะสม แต่ก็มีข้อที่คิดว่าอาจมีปัญหาในทางปฎิบัติที่เกี่ยวกับการพิจารณาถึงมุมมองของผู้มีส่วนได้เสียที่ตามนิยามที่กำหนด แล้วกินความถึงบุคคลหรือกลุ่มบุคคลภายนอกที่อาจได้รับผลกระทบ คำถาม คือ ผู้มีส่วนได้เสียภายนอกคือใคร มีขอบเขตกว้างไกลเพียงใด ถ้าองค์กรมีธุรกิจขนส่งไปทั่วราชอาณาจักรจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร วัตถุประสงค์ที่กำหนดต้องทำเป็นเอกสารและมีในทุกระดับและทุกหน่วยงาน

             สำหรับการทำแผนงานนั้น สาระไม่แตกต่างจากเดิม จะมีข้อสงสัยเพียงว่าทำไมต้องเขียนว่าองค์กรอาจมีแผนงาน 1 แผนงานหรือมากกว่า เพราะในความเป็นจริงแล้วการมีกี่แผนงานก็ขึ้นกับว่าองค์กรนั้นมีความเสี่ยงอะไร หากมีหลายความเสี่ยงก็มีหลายแผนงาน หรือบางองค์กรอาจกำหนดแผนงานตามลักษณะความเสี่ยงเช่นเป็นแผนงานความปลอดภัย แผนงานสุขศาสตร์อุตสาหกรรม แผนงานสุขภาพ และแผนงานการยศาสตร์ เป็นต้น จึงไม่เห็นเหตุผลที่ต้องเขียนไว้เช่นนั้น

2.5 เรื่องทรัพยากร บทบาท อำนาจหน้าที่ และภารกิจที่รับผิดชอบ (ข้อกำหนดที่ 4.4.1) สาระของข้อกำหนดไม่แตกต่างจากเดิม จะมีเพียงการเขียนให้ชัดขึ้นว่าผู้แทนฝ่ายบริหารด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ต้องแต่งตั้งมาจากสมาชิกในคณะผู้บริหาร และมีหน้าที่เพิ่มเติมจากเดิม 1 ข้อ คือ หน้าที่ที่จะเสนอให้มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

2.6 เรื่องความสามารถ การฝึกอบรม และการมีจิตสำนึก (ข้อกำหนดที่ 4.4.2) ที่เห็นแตกต่างจากเดิม คือ การเขียนหัวข้อที่ต่างจากเดิม (เดิม คือ การฝึกอบรม ความสามารถ และ จิตสำนึก) และการกำหนดให้มี “ขั้นตอนการดำเนินงาน” ที่องค์กรจะมั่นใจว่า ลูกจ้างและผู้มีส่วนได้เสียภายใต้การกำกับขององค์กรมีความเข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ความรับผิดชอบของตนในระบบการจัดการนี้ และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการปฎิบัติหรือไม่ปฎิบัติตามที่องค์กรกำหนด (ในขณะที่ฉบับเดิมกำหนดให้มีเอกสารขั้นตอนการดำเนินงานที่แสดงถึงความต้องการในการฝึกอบรม)

             นอกจากนี้ ในงานที่มีผลกระทบด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย การมอบหมายให้ลูกจ้างและผู้มีส่วนได้เสียที่ปฎิบัติงานภายใต้การกำกับขององค์กรนั้น ต้องคำนึงถึงพื้นฐานการศึกษา การฝึกอบรม ทักษะและประสบการณ์ของผู้ทำงานนั้น ๆ ด้วย และองค์กรต้องมีการชี้บ่งความจำเป็นในการฝึกอบรมในด้านความเสี่ยงและระบบการจัดการนี้ แล้วจึงทำการฝึกอบรมหรือใช้วิธีอื่นใดก็ได้  รวมทั้งต้องมีการประเมินผลการฝึกอบรมด้วย 

2.7 เรื่องการสื่อสาร การมีส่วนร่วม และการปรึกษา (ข้อกำหนดที่ 4.4.3) ในข้อกำหนดเดิมไม่ได้กำหนดเรื่องการมีส่วนร่วมและการปรึกษา สำหรับการสื่อสารนั้น ต้องทำเป็นขั้นตอนการดำเนินงาน ครอบคลุมถึงการสื่อสารกับหน่วยงานภายในและภายนอก คือ บริษัทผู้รับเหมา ผู้มาใช้บริการ และผู้มาเยี่ยมชมองค์กรในเรื่องที่เกี่ยวกับอันตรายและระบบการจัดการทางด้านนี้ขององค์กร ต้องเก็บบันทึกการสื่อสารไว้ด้วย ส่วนการมีส่วนร่วมและการปรึกษาซึ่งเป็นสิ่งที่เพิ่มเติมมาในมาตรฐานฉบับใหม่นี้กำหนดให้ต้องจัดทำเป็นขั้นตอนการดำเนินงาน โดยในส่วนของลูกจ้างนั้นให้มีการมีส่วนร่วมในเรื่องการชี้บ่งอันตรายและประเมินความเสี่ยง การกำหนดมาตรการควบคุม การสอบสวนอุบัติการณ์ การกำหนดและทบทวนนโยบายและวัตถุประสงค์ และการกำหนดเรื่องการปรึกษาหรือการให้ข้อมูลกับบริษัทผู้รับเหมา และผู้มีส่วนได้เสียภายนอก ในเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ที่อาจมีผลกระทบด้านอาชีวอนมัยและความปลอดภัย

2.8 เรื่องเอกสาร (ข้อกำหนดที่ 4.4.4) ที่องค์กรต้องจัดทำ คือ 1) นโยบายและวัตถุประสงค์ 2) ขอบข่ายของระบบการจัดการ 3) เอกสารที่มีในระบบการจัดการ (เช่น ขั้นตอนการดำเนินงาน) รวมทั้งต้องอธิบายความสัมพันธ์ของเอกสารต่าง ๆ ด้วย และ 4) บันทึกต่าง ๆ ที่มาตรฐานนี้กำหนดให้มี หรือที่กำหนดโดยองค์กรก็ตาม

2.9 เรื่องการควบคุมเอกสาร (ข้อกำหนดที่ 4.4.5) เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่แตกต่างไปจากมาตรฐานเดิม

2.10 เรื่องการควบคุมการปฎิบัติงาน (ข้อกำหนดที่ 4.4.6) เป็นเรื่องการสร้างความมั่นใจว่า การปฎิบัติงานและกิจกรรมที่ได้ชี้บ่งอันตรายไว้ จะมีการควบคุมให้มีการปฎิบัติตามที่กำหนด เช่น การควบคุมการจัดซื้อสิ่งของ เครื่องมือ และบริการ หรือการควบคุมที่เกี่ยวกับผู้รับเหมาหรือผู้มาเยี่ยมชม หรือการเตือนอันตราย เป็นต้น

2.11 เรื่องการเตรียมความพร้อมและการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน (ข้อกำหนดที่ 4.4.7) โดยทั่วไปไม่แตกต่างจากมาตรฐานเดิมมากนัก เพียงแต่เขียนชัดเจนขึ้นว่า การทดสอบระบบนั้นต้องให้ผู้มีส่วนได้เสียมีส่วนร่วมตามเหมาะสม รวมทั้งแผนที่กำหนดควรมีการประสานกับหน่วยงานภายนอกและผู้มีส่วนได้เสียในเรื่องการช่วยเหลือและการแจ้งเหตุด้วย

2.12 เรื่องการติดตามตรวจสอบและการวัดผลการปฎิบัติงาน (ข้อกำหนดที่ 4.5.1) สาระในมาตรฐานฉบับใหม่มีมากกว่าเดิมพอสมควร กำหนดให้มีการวัดทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ รวมถึงการวัดทั้งเชิงรุกและรับ ทั้งนี้เพื่อให้ทราบว่าองค์กรนั้นบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ การติดตามตรวจสอบประสิทธิผลของการควบคุม การนำผลการติดตามตรวจสอบมาวิเคราะห์เพื่อการแก้ไขและการป้องกันที่เหมาะสมต่อไป นอกจากนี้ ก็พูดถึงขั้นตอนการดำเนินงานเกี่ยวกับเครื่องมือตรวจวัด ที่แสดงให้เห็นว่า เครื่องมือนั้นมีความเหมาะสม มีวิธีการตรวจวัด วิเคระห์ที่ถูกต้อง มีการสอบเทียบและการทวนสอบที่ถูกต้อง

2.13 การประเมินผลการปฎิบัติ (ข้อกำหนดที่ 4.5.2) หัวข้อนี้เป็นหัวข้อใหม่ เน้นให้องค์กรประเมินผลการทำงานตามช่วงเวลาที่กำหนดว่าเป็นไปตามกฎหมายและข้อกำหนดอื่นหรือไม่

2.14 การสอบสวนอุบัติการณ์ ความไม่สอดคล้อง การปฎิบัติการแก้ไข และการปฎิบัติการป้องกัน (ข้อกำหนดที่ 4.5.3) เป็นข้อกำหนดที่ปรับปรุงจากข้อกำหนดเดิมเพื่อทำให้อ่านง่ายขึ้น
1) การสอบสวนอุบัติการณ์ (ข้อกำหนดที่ 4.5.3.1) ต้องทำเป็นขั้นตอนการปฎิบัติงาน มุ่งหาสาเหตุทั้งที่เป็นสาเหตุโดยตรงและปัจจัยร่วม มีการชี้บ่งความจำเป็นที่ต้องปฎิบัติการแก้ไข ชี้บ่งโอกาสในการปฎิบัติการป้องกันและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ต้องมีการสื่อสารผลการสอบสวนด้วย
2) ความไม่สอดคล้องกับข้อกำหนด การปฎิบัติการแก้ไข และการปฎิบัติการป้องกัน (ข้อกำหนดที่ 4.5.3.2) ต้องมีขั้นตอนการดำเนินงานที่จะทำการแก้ไข และทำการป้องกันเมื่อพบข้อบกพร่องจากการติดตามตรวจสอบ การประเมินผล การตรวจประเมิน จากรายงานผลสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัย และพฤติกรรมเสี่ยง  ต้องมีการค้นหาสาเหตุของข้อบกพร่องและปฎิบัติการแก้ไขและป้องกัน สื่อสารผลของการแก้ไขและป้องกัน รวมทั้งทบทวนประสิทธิภาพของการแก้ไขและป้องกัน สิ่งที่มาตรฐานกำหนดไว้อีก คือ เมื่อมีการปฎิบัติการแก้ไขและป้องกัน ก็ต้องไม่ลืมว่าอาจต้องทำการประเมินความเสี่ยงใหม่เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นในองค์กร

2.15 การจัดทำและเก็บบันทึก (ข้อกำหนดที่ 4.5.4) ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
2.16 การตรวจประเมินภายใน (ข้อกำหนดที่ 4.5.5) เป็นการเปลี่ยนหัวข้อให้ชัดเจนว่าเป็นเรื่องการตรวจประเมินภายใน ซึ่งผู้เขียนคิดว่าเหมาะสมและดี เพราะฉบับเดิมใช้เป็นคำกว้างว่า การตรวจประเมินเท่านั้น ทั้งที่โดยเจตนารมย์แล้วข้อกำหนดนี้เป็นเรื่องขององค์กรที่ทำระบบ อย่างไรก็ตาม สาระหรือวัตถุประสงค์ของการตรวจประเมินแตกต่างจากเดิมบ้าง กล่าวคือ มาตรฐานกำหนดให้ทำการตรวจประเมินภายใน ก็เพื่อประเมินว่า 1) องค์กรได้ดำเนินการตามระบบที่กำหนดไว้ เป็นไปตามแผนงาน สามารถรักษาระบบได้ และประเมินประสิทธิภาพของนโยบายและวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ และ 2) เพื่อจัดทำข้อมูลผลการตรวจประเมินให้ฝ่ายบริหารต่อไป (ข้อหลังนี้คือที่เพิ่มมาใหม่) การตรวจประเมินต้องจัดทำเป็นขั้นตอนการกำเนินงานและรายละเอียดอื่นไม่ต่างจากฉบับเดิม
2.17 การทบทวนการจัดการ (ข้อกำหนดที่ 4.6) แนวคิดของการทบทวนการจัดการไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม คือ มุ่งให้ผู้บริหารระดับสูงได้มาทบทวนผลการดำเนินงานทั้งหมด (ในข้อกำหนดจะระบุว่า ให้ทบทวนเรื่องอะไรบ้าง) แล้วทำการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยขององค์กรยั่งยืนตลอดไป ในมาตรฐานใหม่นี้ระบุให้นำผลการทบทวนนี้ไปสื่อสารและให้คำปรึกษาได้

บทสรุป 
             มาตรฐานมอก.18000-2540 ได้ใช้มาตรฐาน BS 8800: 1996 เป็นต้นแบบในการกำหนดมาตรฐาน ต่อมาเมื่อปรับปรุงเป็นมอก.18001-2542 ก็ยังคงใช้ BS 8800: 1996 เช่นเดิม แต่ก็ได้นำเอามาตรฐาน ISO 9000 และ ISO 14000 มาเป็นแนวทางเพิ่มเติม เพื่อให้องค์กรมีความสะดวกในการทำระบบมากยิ่งขึ้น สำหรับมาตรฐานฉบับใหม่ มอก. 18001-2554 เข้าใจว่าได้นำมาตรฐาน OHSAS 18001: 2007 มาเป็นแนวทาง จึงพบว่ารายละเอียดในแต่ละข้อกำหนดจะคล้ายกับมาตรฐานดังกล่าวมาก และหากพิจารณาให้ละเอียดยิ่งขึ้น ก็จะพบว่ามาตรฐาน OHSAS 18001: 2007 ก็พยายามเขียนให้สอดคล้องกับมาตรฐาน ISO 9000 และ ISO 14000 ทั้งนี้เพื่อให้องค์กรที่ต้องการทำระบบการจัดการทั้งสามระบบ คือ คุณภาพ สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัย มีความสะดวกและง่ายในการผสมผสานข้อกำหนดของทั้งสามระบบเข้าด้วยกัน

สำหรับรายละเอียดของมอก.18001-2554 ศึกษาได้ในภาคผนวก

............................................................................


เอกสารอ้างอิง
สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม. (2554). มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก.18001-2554 ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย: ข้อกำหนด สมอ.: กรุงเทพมหานคร.
British Standards Institute. (2007). BS OHSAS 18001:2007,Occupational Health and Safety Management Systems-Requirement. BSI: London.

…………………………….