| ลักษณะการเขียนที่ดี
(characteristics of good writing) |
การเขียนเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก เพราะการเขียนเป็นเครื่องมือสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ
เป็นเครื่องมือที่มนุษย์ใช้ในการบันทึกความจำ สื่อสารความคิด
และเป็นหลักฐานและเอกสารอ้างอิงได้ การเขียนสามารถพัฒนาความคิดของคนในสังคม
เพราะมนุษย์ได้เรียนรู้วิทยาการต่าง ๆ จากข้อเขียนของผู้รู้
หรือจากงานวิจัยต่าง ๆ ดังนั้น สังคมจึงมีการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้การเขียนยังเป็นเครื่องมือที่บุคคลในอาชีพต่าง ๆ ใช้ประกอบการทำงาน
เช่น วิศวกรเขียนรายงานความก้าวหน้าของโครงการ นักวิทยาศาสตร์
นักวิชาการ และนักวิจัยเขียนรายงานการวิจัย ครูอาจารย์เขียนตำรา
เอกสารประกอบการสอน และรายงานการวิจัย ผู้ปฏิบัติงานสำนักงานเขียนบันทึกข้อความหรือจดหมาย
เป็นต้น
ในการเขียน นอกจากผู้เขียนจะต้องคำนึงถึงหลักการเบื้องต้นของการเขียน
ซึ่งได้แก่ จุดประสงค์ที่แน่นอนในการเขียน เนื้อหา หลักภาษาและไวยากรณ์
การเลือกคำศัพท์ ลีลาการเขียน รวมทั้งตัวสะกดที่ถูกต้อง การใช้เครื่องหมายวรรคตอน
และการเขียนตัวอักษรเล็กตัวอักษรใหญ่ เพื่อไม่ให้ผู้อ่านสับสนหรือเข้าใจผิดได้โดยง่ายแล้ว
ผู้เขียนยังต้องคำนึงถึงและวิเคราะห์ผู้อ่าน เพื่อสื่อเนื้อหาที่ต้องการให้เหมาะสมกับผู้อ่านแต่ละกลุ่มที่แตกต่างกัน
ทั้งนี้เพราะผู้อ่านมีบทบาทสำคัญต่อการเขียนและการนำเสนองานเขียน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รูปแบบงานเขียน การกำหนดหัวข้อเรื่อง ขอบเขตของเรื่อง
วิธีนำเสนอเรื่อง ลักษณะภาษา และลีลาการเขียน
1. ลักษณะเด่นของการเขียน
การเขียนเป็นกระบวนการความคิดที่สลับซับซ้อนที่ผู้เขียนพยายามสื่อออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร
การเขียนเป็นงานสร้างสรรค์ รังสรรค์ความคิดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร
การเขียนคือการค้นพบ การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมในเรื่องที่เขียนระหว่างการเขียน
ช่วยให้เกิดการค้นพบข้อมูลและสาระต่าง ๆ มากมาย
การเขียนคือการเขียนแล้วเขียนอีก กล่าวคือ มีการปรับปรุงแก้ไข
เพิ่มเติมหรือตัดทอน ทั้งในด้านเนื้อหาสาระ ภาษา และอื่น ๆ
เพื่อให้งานเขียนสมบูรณ์มากขึ้น
2. ความสมดุลของข้อเขียน (rhetorical stance)
ความเรียง (rhetoric) อาจเป็นวจนะหรือข้อเขียน ที่ผู้เสนอพยายามสื่อความหมายไปยังกลุ่มผู้อ่านหรือผู้ฟังอย่างน่าสนใจ
แต่ในที่นี้จะจำกัดอยู่เพียงข้อเขียน ความสมดุลของข้อเขียนใดข้อเขียนหนึ่งจะหมายถึงความสมดุลขององค์ประกอบต่อไปนี้คือ
เนื้อหาในการเขียน -- จะสื่อเนื้อหาสาระอะไรกับผู้อ่าน
จุดมุ่งหมายในการเขียน -- ทำไมจึงต้องเขียนเรื่องนี้
กลุ่มผู้อ่านที่ผู้เขียนคาดไว้ในใจ -- เขียนให้ใครอ่าน
เมื่อมีกรอบตามองค์ประกอบข้างต้น ซึ่งรวมเรียกได้ว่า การวิเคราะห์สถานการณ์การเขียน
(rhetorical situation) นี้แล้ว จะช่วยให้ผู้เขียนสามารถตีความหัวข้อเรื่องที่จะเขียนให้กระจ่างมากยิ่งขึ้น
สามารถกำหนดสาระและขอบเขตการเขียนได้ชัดเจนขึ้น และสามารถใช้วิเคราะห์ร่างการเขียนว่ามีความสมดุลขององค์ประกอบต่าง
ๆ ดีหรือไม่
2.1 การวิเคราะห์เนื้อหา ควรพิจารณาประเด็นต่อไปนี้
2.1.1 ความรู้ในเนื้อหาที่จะเขียน ผู้เขียนต้องวิเคราะห์ว่า
ตนมีความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์ ตลอดจนข้อมูลเกี่ยวกับหัวข้อของข้อเขียนมากเพียงพอหรือไม่
รวมถึงการค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ต่าง ๆ ด้วยไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์
2.1.2 ขอบเขตของเนื้อหาที่จะเขียน เนื้อหามักขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของการเขียนและกลุ่มผู้อ่านด้วย
การเขียนเพื่อเล่าสภาพความเป็นอยู่โดยทั่วไป กับการเขียนแสดงความคิดเห็นในเชิงไม่เห็นด้วยกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ย่อมแตกต่างกันในแง่ของเนื้อหาและการนำเสนอ หรือการเขียนบรรยายเกี่ยวกับกรุงเทพฯ
ให้กลุ่มเพื่อนที่เคยมาเที่ยวกรุงเทพฯ กับการเขียนบรรยายเกี่ยวกับกรุงเทพฯ
เชิญชวนผู้ที่ไม่เคยมากรุงเทพฯ ให้รู้สึกอยากมาเที่ยว ย่อมแตกต่างกันในแง่ของเนื้อหาและการนำเสนอเช่นกัน
2.2 การวิเคราะห์จุดมุ่งหมาย จุดมุ่งหมายในการเขียนเป็นเครื่องกำหนดโวหารหรือวิธีการนำเสนอเรื่อง
ในข้อเขียนหนึ่ง ๆ อาจมีโวหารต่าง ๆ ปะปนกัน สิ่งสำคัญคือ
จะเขียนอย่างไรให้บรรลุจุดมุ่งหมายในการเขียนที่ตั้งใจ เช่น
ข้อเขียนอาจเป็นพรรณนาโวหาร (descriptive) บรรยายโวหาร (narrative)
การเขียนเพื่อโน้มน้าวใจ (persuasive) การเขียนแบบอรรถาธิบาย
(expository) เป็นต้น
2.3 การวิเคราะห์ผู้อ่าน ผู้เขียนต้องวิเคราะห์ความต้องการของผู้อ่านว่าอยากทราบข้อมูลอะไร
มีพื้นความรู้ร่วมกับผู้เขียนมากน้อยเพียงใด และต้องใช้ภาษาเช่นไร
เช่น การเขียนรายงานผลการวิจัยให้นักวิชาการอ่าน ควรใช้ภาษาที่เป็นทางการ
ส่วนการเขียนบทความสำหรับกลุ่มผู้อ่านที่ไม่ใช่นักวิชาการ
อาจเขียนด้วยภาษาที่ไม่เป็นทางการ ทั้งนี้ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้อ่านด้วย เช่น เพศ อายุ ภูมิหลัง
ค่านิยม ซึ่งล้วนมีผลต่อการกำหนดขอบเขตของเรื่อง วิธีการนำเสนอ
ตลอดจนภาษาที่ใช้
ตัวอย่างการวิเคราะห์สถานการณ์การเขียน
หัวข้อการเขียน: Living in Bangkok
อาจวิเคราะห์สถานการณ์การเขียนได้หลากหลาย เช่น
|
1. จุดมุ่งหมายในการเขียน: |
เพื่อให้คนตระหนักถึงสภาพการมีชีวิตที่ไม่น่าอยู่ในกรุงเทพฯ |
|
กลุ่มผู้อ่าน: |
คนที่ไม่รู้สภาพชีวิตในกรุงเทพฯ |
|
เนื้อหา: |
พรรณนาสภาพจราจร มลภาวะ และค่าครองชีพ |
|
2. จุดมุ่งหมายในการเขียน: |
เพื่อให้คนตระหนักถึงชีวิตที่สะดวกและความหลากหลายในกรุงเทพฯ |
|
กลุ่มผู้อ่าน: |
คนที่ไม่รู้สภาพชีวิตในกรุงเทพฯ |
|
เนื้อหา: |
กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการขนส่งและการคมนาคม มีร้านค้า
ร้านอาหาร และแหล่งบันเทิงจำนวนมาก |
|
3. จุดมุ่งหมายในการเขียน:
|
เพื่อแสดงสภาพมลภาวะในกรุงเทพฯ |
|
กลุ่มผู้อ่าน: |
หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารกรุงเทพฯ เช่น
กทม. |
|
เนื้อหา: |
อธิบายสภาพมลภาวะในกรุงเทพฯ พร้อมนำเสนอค่าสถิติต่าง
ๆ |
3. การจัดเอกภาพของสาร (unity)
3.1 รูปแบบของข้อเขียน (rhetorical pattern)
รูปแบบของข้อเขียนภาษาอังกฤษที่เป็นที่นิยมกัน ส่วนใหญ่มีองค์ประกอบสำคัญ
ๆ ดังนี้คือ มีประโยคใจความสำคัญหรือประโยคหลัก (topic sentence)
มีการขยายหรืออธิบายความ มีการยกตัวอย่าง และมีการสรุปความ
3.2 การเขียนให้กระชับและเขียนให้ตรงประเด็น
3.2.1 การเขียนให้กระชับ (concise) คือการให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เขียนให้มากที่สุดโดยใช้ประโยคและคำให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ควรตัดสิ่งที่เป็นใจความซ้ำซ้อน เนื้อหาสาระที่ไม่จำเป็นหรือเป็นสิ่งที่คาดว่าผู้อ่านทราบแล้วออก
3.2.2 การเขียนให้ตรงประเด็น (precise) คือการเขียนให้ข้อมูลและรายละเอียดเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอและจุดมุ่งหมายในการเขียน
หรือสิ่งที่กลุ่มผู้อ่านคาดว่าจะอ่านในข้อเขียนอย่างชัดเจนและถูกต้อง
โดยตัดข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องออก เพื่อมิให้ผู้อ่านจับใจความยากหรือคลาดเคลื่อนไปจากสิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อ
3.3 การเสนอความคิดอย่างสมเหตุสมผล
ข้อเท็จจริง ข้อโต้แย้ง หรือการอภิปรายใด ๆ ในข้อเขียน ควรสมเหตุสมผล
เป็นความจริงหรือเป็นตรรกะที่ผู้อ่านยอมรับได้ เพราะหากความคิดต่าง
ๆ ที่นำเสนอในสารมีจุดบกพร่องที่ผู้อ่านโต้แย้งหักล้างได้
สารนั้นย่อมไม่น่าเชื่อถือและไม่สามารถจูงใจให้ผู้อ่านคล้อยตามได้
^Top |