SubMenu :: Back :: Next

 

 

3. การเขียนบทความทางวิชาการด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

           3.3 การเขียนบทความทางสังคมศาสตร์



                3.3.2 การเขียนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี


 

3.3.2.1  วิธีการเขียนทั่วไป

 

        วิธีการเขียนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นการเขียนเพื่อบันทึกและอภิปรายผลของการทดลองในห้องปฏิบัติการ เป็นการเขียนเพื่อบอกข้อมูล  (writing to inform)  โดยเป็นข้อมูลตามที่ปรากฏจริงเช่น อุณหภูมิที่วัดได้ โดยอาจใช้วิธีการเขียนแบบพรรณนา (description) ไปตามลำดับ (sequence) ของเหตุการณ์ อาจเขียนเปรียบเทียบแบบเหมือนและเปรียบต่าง แบ่งประเภท ให้คำจำกัดความ   นอกจากนี้ยังเขียนเพื่อโต้แย้ง และชักจูงใจ ข้อโต้แย้งของการเขียนทางวิทยาศาสตร์อยู่ที่การกล่าวอ้าง หลักฐาน และความสัมพันธ์ที่มีเหตุผล (ตรรกกะ) ที่เกี่ยวพันกัน วิธีการเขียน แบบแสดงเหตุและผล( causes and effects) เป็นวิธีการแสดงเหตุผลที่พบมากในงานเขียนทางวิทยาศาสตร์
        การเขียนรายงานการทดลองทางวิทยาศาสตร์เต็มรูปอาศัยความรู้ทาง  (1) ด้านรูปแบบโครงสร้างของรายงาน (2) sentence structure ที่เหมาะสม ใช้ cohesive device  คำนึงถึงสถานการณ์การสื่อสาร และต้องอ่านงานวิจัยมากจึงจะซึมซับวิธีการเขียน   (กมลนาฎ มาลากุล, 2551)
        ในส่วนของการเขียนส่วนนำในบทความวิชาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ควรจะมีประโยชน์ เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะเขียน มีความสำคัญ  ใช้  passive voice มากกว่า เพราะเน้นที่ผลการกระทำมากกว่าผู้กระทำ ความยาวของประโยค สั้นไปก็ไม่เหมาะ หากยาวเกินไปก็จะทำให้ผู้อ่านเบื่อหน่าย 
ในการเขียนประโยคในความนำในบทความทางการแพทย์ จากวารสารทางการแพทย์  มี 3 รูปแบบ  ให้ข้อเท็จจริง ระบุความสำคัญ รวมข้อเท็จจริงกับความสำคัญ
     นอกจากนี้ยังควรพิจารณาหลักการต่อไปนี้

          1. การเขียนส่วนนำให้ข้อมูล ผสมผสานระหว่างการให้ข้อเท็จจริงและความสำคัญ ระบุความสำคัญ  

          2. เกณฑ์การเลือกใช้ tense ในการอ้างถึงวรรณกรรมที่ผ่านมาควรตระหนักว่าการใช้ present tense ไม่ได้อิงกับเวลา เสมอไป อาจเป็นการกล่าวถึง สภาวะ (states) หรือการใช้เพื่อโวหาร    

          3. อ้างงานเดิมที่มีผู้ทำมาแล้ว

          4. ประโยคไม่ควรสั้นหรือยาวเกินไป

 (Banpho,  2004:  69-78)  


 

 


 

 

SubMenu :: Back :: Next

 

 

TOP