ฉบับประจำเดือน มกราคม 2551
 

การเขียนบทความทางวิชาการ (ตอนที่ 2)

ในการที่จะส่งบทความตีพิมพ์ในวารสารต่างๆ นั้น จำเป็นต้องศึกษาหัวข้อย่อยว่าวารสารแต่ละฉบับประกอบด้วยหัวข้อย่อย อะไรบ้าง  สำหรับฉบับนี้จะอธิบายต่อจากคราวที่แล้ว โดยอธิบายถึงองค์ประกอบของบทความวิชาการในแต่ละหัวข้อ ที่ส่วนใหญ่แล้วในการการเขีนบทความแต่ละครั้งจำเป็นต้องมี

  1. องค์ประกอบของบทความวิชาการ  บทความวิชาการจะด้วย 5  องค์ประกอบใหญ่ ดังนี้

 

    1. ชื่อเรื่อง (Title) ชื่อเรื่องต้องสื่อความหมายอย่างชัดเจน    ว่าผู้เขียนต้องการนำเสนอเรื่องอะไร
    2. ส่วนเกริ่นนำหรือบทนำ (Introduction) เป็นการนำผู้อ่านเข้าเรื่องบทนำเป็นส่วนที่มีความสำคัญมากเพราะเป็นบทแรกหรือส่วนแรกของการเขียนบทนำที่ดีจะบอกกล่าวผู้อ่านทราบใน     เบื้องต้นว่าเนื้อหาทั้งหมดของบทความว่าด้วยเรื่องอะไร ซึ่งประกอบด้วย
      1. หลักการและเหตุผล(Rationale)หรือความเป็นมาหรือภูมิหลัง(Background)หรือความสำคัญของเรื่องที่เขียน (Justification) หัวข้อนี้จะทำให้ผู้อ่านได้ทราบเป็นพื้นฐานไว้ก่อนว่าเรื่องที่เลือกมาเขียนมีความสำคัญหรือมีความเป็นมาอย่างไรเหตุผลใดผู้เขียนจึงเลือกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาเขียน ในการเขียนบทนำในย่อหน้าแรกซึ่งถือว่าเป็นการเปิดตัวบทความทางวิชาการ และเป็นย่อหน้าที่ดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน ซึ่งมีวิธีการเขียน 5  แบบ ได้แก่

แบบที่ 1  การใช้คำคม (Quotation)
วิธีการเริ่มต้นย่อหน้าแรกของบทนำโดยการใช้คำคม ซึ่งอาจเป็นคำสุภาษิต โคลง กลอน คติเตือนใจ หรือคำกล่าวของบุคคลสำคัญ โดยคำคมที่ยกมากล่าวอ้างจะต้องมีความสอดคล้องกับเรื่องหรือเนื้อหาที่จะเขียน เช่น จะเขียนบทความทางวิชาการ เรื่อง “ตำรวจกับความเป็นนักปราชญ์”  ผู้เขียนอาจเกริ่นนำด้วย คำคมว่า “ สุ  จิ ปุ ลิ เป็นหัวใจของนักปราชญ์”  แล้วอธิบายต่อเพื่อโยงเข้าเนื้อหาที่จะเขียน
แบบที่ 2  การใช้การเล่าเรื่อง (Illustration)
การใช้การเล่าเรื่องเป็นการเกริ่นนำอาจเล่าเรื่องที่ผู้เขียนประสบมาด้วยตนเอง หรือผู้อื่นเล่าให้ฟัง หรือจากการอ่านค้นคว้า นอกจากนี้อาจนำประเด็นที่เป็นที่สนใจของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้อ่าน เช่น จะเขียนบทความทางวิชาการ เรื่อง “ตำรวจกับความเป็นนักปราชญ์”  ผู้เขียนอาจเกริ่นนำด้วย การยกตัวอย่างตำรวจที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์ มาเป็นส่วนเกริ่นนำ
แบบที่ 3  การใช้นิยามศัพท์ (Definition)
ในการเริ่มส่วนแรกของบทความด้วยคำนิยามศัพท์นั้นมักใช้ในกรณีที่มีคำศัพท์ใหม่ๆ หรือคำศัพท์นั้นกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะที่เขียนบทความ หรือคำศัพท์นั้นอยู่ในชื่อของบทความ เช่น จะเขียนบทความทางวิชาการ เรื่อง “ตำรวจกับความเป็นนักปราชญ์”  ผู้เขียนอาจเกริ่นนำด้วย  ความหมายของนักปราชญ์  “มีผู้ให้คำอธิบายว่าคำว่านักปราชญ์ หมายถึง............ ซึ่งเมื่อพิจารณาในแวดวงตำรวจไทยแล้วพบว่า.....”
แบบที่ 4  การใช้การตั้งคำถาม  (Question)
การใช้การตั้งคำถาม เป็นส่วนนำของการเขียนบทความเป็นการดึงดูดให้ผู้อ่านสนใจตามหาคำตอบในบทความนั้นๆ เช่น จะเขียนบทความทางวิชาการ เรื่อง “ตำรวจกับความเป็นนักปราชญ์”  ผู้เขียนอาจเกริ่นนำด้วย “ในรอบทศวรรษที่ผ่านมาวงการตำรวจไทยมีตำรวจกี่นายที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักปราชญ์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนที่จะเป็นนักปราชญ์จำเป็นต้องเป็นนักวิชาการเสมอไปหรือไม่” 
แบบที่ 5  การใช้การกล่าวสรุป  (Summarization)
อีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้ในการเขียนย่อหน้าแรกของบทความคือ เริ่มต้นด้วยการกล่าวสรุป เช่น จะเขียนบทความทางวิชาการ เรื่อง “ตำรวจกับความเป็นนักปราชญ์”  ผู้เขียนอาจเกริ่นนำด้วย “ในรอบทศวรรษที่ผ่านมาวงการตำรวจไทยมีตำรวจเพียงหนึ่งนายที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักปราชญ์ ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงเหตุผลของการที่ได้รับการยกย่องเช่นนี้เนื่องจาก......”

การเขียนบทนำนั้นหลังจากที่เขียนย่อหน้าแรกแล้วมีวิธีการเขียนเพื่อดึงให้ผู้อ่านเข้าสู่ประเด็นที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอโดย จะเริ่มจากการเขียนเนื้อหาในเชิงกว้าง เช่น การยกนโยบายระดับประเทศเพื่อนำสู่ปัญหาหรือที่มาของปัญหา แล้วโยงเข้าสู่ประเด็นย่อยที่เราต้องการเขียน โดยกล่าวถึงบริบทของเรื่องที่ศึกษา ความสำคัญของเรื่องที่ศึกษา และสรุปสู่ประเด็นสุดท้ายคือ จุดมุ่งหมายของการศึกษาหรือของการเขียนบทความวิชาการเรื่องนั้นๆ ว่าต้องการสื่อเรื่องหรือประเด็นใดให้กับผู้อ่าน
1.2.2 วัตถุประสงค์ของการเขียนบทความนี้เพื่อต้องการให้ผู้อ่านได้ทราบเรื่องอะไรบ้างโดยอาจแยกเป็นวัตถุประสงค์หลักและวัตถุประสงค์เฉพาะ ในการเขียนวัตถุประสงค์นั้นมีประโยชน์คือ เกิดความชัดเจนว่าต้องการเขียนอะไรในหัวข้อนั้น  ทราบว่าควรค้นคว้าหาข้อมูลอะไรเพิ่มเติม  และทำให้ผู้อ่านวิจัยสามารถติดตามประเมินผลการวิจัยได้  โดยวิธีการเขียนวัตถุประสงค์มีดังนี้

  1. ความชัดเจนของวัตถุประสงค์แต่ละข้อ
  2. ความไม่ซ้ำซ้อนในวัตถุประสงค์แต่ละข้อ
  3. ความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุประสงค์แต่ละข้อ / ความลดหลั่นของวัตถุประสงค์แต่ละข้อ
  4. จำนวนวัตถุประสงค์แต่ละข้อไม่ควรมีมากเกินไป
  5. วัตถุประสงค์แต่ละข้อหัวข้อจะต้องสอดคล้องกับเรื่องหรือเนื้อหาของบทความ
      1. คำจำกัดความหรือนิยามต่าง ๆ ที่ผู้เขียนเห็นว่าควรระบุไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านในกรณีที่คำเหล่านั้นผู้เขียนใช้ในความหมายที่แตกต่างจากความหมายทั่วไปถือเป็นการทำความเข้าใจและการสื่อความหมายให้ผู้เขียนบทความและผู้อ่านบทความเข้าใจตรงกัน รวมทั้งเป็นการขยายความหมายให้สามารถตรวจสอบหรือสังเกตได้ด้วย

 

    1. ส่วนเนื้อเรื่อง (Body)  เป็นส่วนของการดำเนินเรื่องทั้งหมด สามารถแบ่งออกเป็นส่วนย่อย 3 ส่วน ได้แก่
      1. ส่วนย่อยที่ 1 ปูพื้นฐานความรู้ผู้อ่านในเรื่องที่จะกล่าวถึง เช่น กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อนำสู่ประเด็นที่ผู้เขียนจะวิเคราะห์ วิพากษ์ แสดงความคิดเห็น หรือเสนอแนะ แล้วแต่วัตถุประสงค์ของผู้เขียน
      2. ส่วนย่อยที่ 2 วิเคราะห์ข้อมูล การโต้แย้งข้อเท็จจริง การถกเถียง ส่วนนี้จะมีการใช้เหตุผล ใช้หลักฐานข้ออ้างเพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้อ่าน
      3. ส่วนย่อยที่ 3 เสนอความคิดเห็น /จุดยืน/ข้อเสนอแนะของผู้เขียน ต่อประเด็นที่นำเสนอ

การเขียนส่วนเนื้อเรื่องจะต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลปะประกอบกัน กล่าวคือ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์ (Sciences) นั้นคือหลักวิชาการที่ผู้เขียนจะต้องคำนึงถึงในการเขียน ได้แก่ กรอบแนวความคิด (Conceptual Framework) ที่ผู้เขียนใช้ในการเขียนจะต้องแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงของเหตุที่จะนำไปสู่ผล(Causal Relationship) การอ้างอิงข้อมูลต่าง ๆ  ในส่วนศิลปะ (Art) ได้แก่ศิลปะในการใช้ภาษาเพื่อนำเสนอเรื่องที่เขียน การลำดับความ การบรรยาย วิธีอ้างอิงสถิติและข้อมูลต่างๆ ทีใช้ในการประกอบเรื่องที่เขียน เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจและประทับใจมากที่สุด

    1. บทสรุป  (Summary)  เป็นส่วนสรุปจุดยืนของผู้เขียนที่มีต่อเรื่องนั้น ๆ บทสรุปเป็นส่วนสุดท้ายของการเขียนทั้งหมด เป็นการสรุปเนื้อหาที่ได้กล่าวถึงมาแล้วทั้งหมด ตั้งแต่บทนำ และบทที่เป็นเนื้อหา การสรุปมีความสำคัญ เพราะจะต้องครอบคลุม  รายละเอียดต่างๆ ให้ครบถ้วน ทั้งนี้บทสรุปไม่ควรจะยาวมากดังนั้นผู้เขียนจะต้องใช้วิชาย่อความให้มากที่สุดในส่วนนี้
    2. เอกสารอ้างอิง (Reference) การอ้างอิงในที่นี้หมายถึงการอ้างอิงในส่วนสุดท้ายของบทความวิชาการว่าผู้เขียนได้ค้นคว้าเอกสารจากแหล่งใดบ้างเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการเขียนบทความ ในการเขียนเอกสารอ้างอิงนั้นมีวิธีการเขียนหลายแบบซึ่งขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแหล่งที่ท่านจะนำไปเผยแพร่ โดยทั่วไปแล้ววิธีการเขียนเอกสารอ้างอิงที่นิยมในปัจจุบันมี 2 แบบ คือ ป็นการอ้างอิงอย่างสมบูรณ์ ที่นิยมมี 2 ระบบคือ  MLA (Modern Language Association Style) และ APA  (America Psychological Association Style) ซึ่งทั้งสองวิธีมีประเด็นหรือรูปแบบที่แตกต่างกันสรุปได้ดังนี้
  1. ระบบ MLA ชื่อผู้แต่งภาษาอังกฤษใช้นามสกุลเต็ม และชื่อเต็ม ส่วน  APA ใช้นามสกุลเต็ม และชื่อย่อ
  2. ชื่อบทและชื่อหนังสือใน MLA ใช้อักษรตัวใหญ่ขึ้นต้น ส่วน  APA ใช้อักษรตัวเล็กยกเว้นอักษรตัวแรก
  3. ระบบ MLA ปี พ.ศ. จะอยู่ท้ายสุด  ส่วน  APA พ.ศ. จะอยู่หลังชื่อผู้แต่ง
  4.  

ในส่วนเทคนิคการเขียน และลักษณะของบทความที่ดี สามารถติดตามได้ในฉบับต่อไปนะคะ
เอกสารอ้างอิง
นภาลัย  สุวรรณธาดา และคณะ (2548)  การเขียนผลงานวิชาการและบทความ กรุงเทพมหานคร : หจก.ภาพพิมพ์
ทนง โชติสรยุทธ์ (2524)   คำแนะนำในการเขียนบทความที่ดี   กรุงเทพมหานคร :  ซีเอ็ดยูเคชั่นจำกัด
(มหาชน)