ฉบับประจำเดือน มิถุนายน 2550

กินอาหาร... ให้เป็นยา

            มีคำพูดที่มักจะได้ยินบ่อยๆ ตามหัวข้อมุมสุขภาพในครั้งนี้ คือ “กินอาหาร......ให้เป็นยา” อาหารคือ สิ่งที่จำเป็นสำหรับร่างกาย รองลงมาจากน้ำซึ่งร่างกายจะขาดเสียมิได้ อาหารที่บริโภคทุกวันก็เพื่อใช้เป็นแหล่งสร้างพลังงานโดยทราบวันการ metabolism ภายในเซลทั้งร่างกาย เพื่อการดำรงชีวิตของร่างกาย รวมทั้งสร้างซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอของร่างกาย และเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายด้วย
“ยา” เป็นสิ่งที่ใช้รักษาโรค การกินยาโดยทั่วไปก็ต่อเมื่อร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยเชื้อโรคต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งตามปกติร่างกายจะมีความสามารถหรือภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคได้ เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ก็จะมีเซลล์ของเม็ดเลือดขาว ระบบน้ำเหลืองต่างๆ เข้าต่อสู้จับกินทำลายเชื้อโรคเหล่านั้นทันที ถ้าร่างกายแข็งแรงมีภูมิต้านทานดี เชื้อโรคก็จะถูกทำลาย ร่างกายก็จะไม่แสดงอาการของโรค แต่ถ้าร่างกายอ่อนแอไม่มีภูมิต้านทานเชื้อโรคแข็งแรงกว่า ร่างกายก็จะแสดงอาการต่างๆ ตามลักษณะของเชื้อโรค เช่น เป็นไข้หวัด เจ็บคอ ก็จะมีอาการปวดศีรษะ ตัวร้อนมีไข้ คอแดง เจ็บคอ ไอมีเสมหะ น้ำมูกไหลเป็นต้น ดังนั้นจำเป็นต้องกินยาเข้าไปในร่างกายให้ไปต่อสู้ทำลายเชื้อโรคเหล่านั้น หรือทำให้ร่างกายมีความต้านทานนั่นเอง ในชีวิตประจำวันจึงควรบริโภคอาหารให้มีประโยชน์หลายอย่าง คือ นอกจากเป็นแหล่งพลังงานของร่างกายแล้ว ยังสามารถสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้ด้วย นั่นก็คือ การกินอาหารให้เป็นยานั่นเอง สำหรับหลักการกินอาหารให้เป็นยาในครั้งนี้ขอเสนอแนะไว้ 3 ข้อ ดังนี้

  1. กินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ คือ คาร์โบไฮเดรต ได้แก่พวกข้าว แป้งต่างๆ โปรตีน ได้แก่

เนื้อสัตว์ หรือโปรตีนจากธัญพืช ลิพิดหรือไขมัน เหล่านี้เป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ นอกจากนี้ ยังมีวิตามินและเกลือแร่ในพืชผักต่างๆ ด้วย ดังนั้น ต้องกินอาหารหลักให้ครบ 5 หมู่ ตามที่คนไทยเรียกกัน ดังนี้
หมู่แรก            เนื้อสัตย์ต่างๆ ไข ถั่ว นม (พวกโปรตีน)
หมู่สอง            ข้าว น้ำตาล และเผือกมัน (พวกคาร์โบไฮเดรต)
หมู่สาม            ผักใบเขียว และพืชผักอื่นๆ (วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ)
หมู่สี่    ผลไม้ต่างๆ (วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ)
หมู่ห้า  ไขมันจากสัตว์ และพืช (ไขมัน และไข)

  1. กินอย่าให้เกินความต้องการของร่างกาย นอกจากกินให้ครบแล้ว ก็ต้องไม่กินมากเกิน

ความต้องการที่ร่างกายจะใช้ โดยเฉพาะอาหารจำพวกข้าว น้ำตาล เนื้อสัตย์หรือไขมันเพราะกินมากไปร่างกายก็จะเก็บสะสมไว้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกายทำให้อ้วนเกินไป จะเห็นได้ว่าองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของศาสนาพุทธ นั้น ท่านเป็นนักโภชนาการด้วย คือ บัญญัติในพระพุทธศาสนา ห้ามพระภิกษุฉันอาหารหลังเพลไปแล้ว โดยเฉพาะมือเย็นนั้นร่างกายไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานมากมาย เพราะกินแล้วเดี๋ยวก็นอน ถ้ามือเย็นกินมากๆ ก็จะเกิดการพอกพูนของไขมันตามส่วนต่างๆ ของร่างกายได้
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องกินอาหารตามวัย เช่น วัยเด็ก วัยรุ่นที่กำลังเจริญเติบโต หรือหญิงมีครรภ์ต้องใช้พลังงานมากก็จำเป็นต้องกินอาหารมากตามสัดส่วน ในขณะที่วัยผู้ใหญ่หรือวัยสูงอายุก็ต้องจำกัดอาหารที่จะเป็นโทษเป็นภัย เช่น พวกแป้ง น้ำตาล พืชที่มีไขมันต่างๆ ที่ช่วยทำให้ร่างกายสดชื่น แข็งแรง ถ้าเป็นโปรตีนก็ควรเป็นโปรตีนจากธัญพืชหรือเนื้อปลาที่ย่อยง่ายและไขมันที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย เป็นต้น

  1. กินอาหารสดที่ได้จากธรรมชาติ หลีกเลี่ยงกินอาหารที่ปรุงแต่งรสชาติ หรือสีสันของ

อาหารจนผิดธรรมชาติ เช่น อาหารสำเร็จรูปที่ปรุงแต่งสี กลิ่น รส ด้วยสารเคมีต่างๆ เช่น ยากันบูด สีผสมอาหาร ฯลฯ ทำให้สามารถเก็บอาหารไว้นานๆ โดยไม่เสีย อาหารเหล่านี้ควรพยายามหลีกเลี่ยง ควรกินอาหารที่จากธรรมชาติ ปรุงแต่งรส กลิ่น สี โดยสารปรุงแต่งตามธรรมชาติ และควรเลือกกินอาหารที่ปรุงใหม่ๆ พืชผักสดที่ปราศจากสารเคมีตกค้าง พืชผักสมุนไพรต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย
หวังว่า การกินอาหารให้เป็นยาในลักษณะทั้ง 3 ข้อ ดังกล่าวจะได้รับ “ยา” เข้าสู่ร่างกายทำให้ร่างกายแข็งแรงมีภูมิต้านทานเชื้อโรค สิ่งแปลกปลอมต่างๆ เกิดจากภาวะสุขภาพอนามัยที่ดี และนำไปสู่สุขภาพจิตที่ดีด้วยเช่นกัน