มุมสบายๆ โดย รศ.ดร.พรทิพย์ เกยุรานนท์
 

การจัดการความรู้ การวิจัย และนวัตกรรม

อาจารย์ ดร. อารยา ประเสริฐชัย

 

         การจัดการความรู้ การวิจัย และนวัตกรรม ต่างก็เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความรู้และการเรียนรู้ แต่เป็นความเกี่ยวข้องในต่างบริบท ต่างวัตถุประสงค์ ต่างจุดเน้น และต่างวิธีการ  ซึ่งความรู้แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ


1. ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาติญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ เป็นต้น บางครั้งจึงเรียกว่า “ความรู้แบบนามธรรม”


2. ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวมและถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่าง ๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่าง ๆ เป็นต้น และบางครั้งเรียกว่า “ความรู้แบบรูปธรรม”


การจัดการความรู้ การวิจัยและนวัตกรรม  คืออะไร?
          การจัดการความรู้ เป็นกระบวนการที่มีการใช้และสร้างความรู้อยู่ด้วยกัน ความรู้ที่ใช้มีทั้งที่ได้มามาจากภายนอกกลุ่มหรือองค์กร และที่มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสร้างขึ้นใช้ภายในองค์กรผ่านการทำงานร่วมกัน เป้าหมาย คือ งานที่มีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้น การจัดการความรู้จึงเน้นความรู้ที่แนบแน่นอยู่กับงาน เป็นความรู้ที่ใช้ผลิตผลงานหมุนเป็นความรู้ที่ยกระดับขึ้นจากการทำงาน และสมาชิกที่ร่วมกันจัดการความรู้ เกิดการเรียนรู้เพิ่มขึ้น ส่วนการวิจัย เป็นการสร้างความรู้อย่างมีระบบระเบียบ พิสูจน์ซ้ำได้ มีความน่าเชื่อถือเชิงวิชาการ ความรู้ที่ค้นพบเน้นความเป็นสากล การวิจัยจึงเป็นมุมความรู้ในโลกวิชาการ สร้างความรู้ที่ชัดเจนจับต้องได้ (Explicit Knowledge) สุดท้าย คือ นวัตกรรม (Innovation) เป็นกระบวนการนำเอาความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดผลประโยชน์เชิงธุรกิจ หรือคุณค่าในรูปแบบอื่น เป็นกระบวนการที่ต่อยอดไปจากผลการวิจัยไปใส่มูลค่าและคุณค่า (วิจารณ์ พานิช, 2552)


การจัดการความรู้ การวิจัย และนวัตกรรม  แตกต่างกัน?
          การวิจัยหรือคำถามวิจัยเริ่มจากสิ่งที่ยังไม่รู้ ยังไม่ชัดเจน หรือกล่าวง่าย ๆ คือ ช่องโหว่ของความรู้ เมื่อดำเนินการวิจัยได้ผลก็จะทำให้มีความรู้เพิ่มขึ้น ความรู้เหล่านั้นทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมดเป็นความรู้ที่ชัดแจ้งจับต้องได้ (Explicit Knowledge) แต่การจัดการความรู้ส่วนใหญ่เริ่มจากความสำเร็จ ที่มักเป็นความสำเร็จเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็ถือได้ว่า เป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชม  กลุ่มผู้ทำงานและได้รับความสำเร็จดังกล่าว ถือเป็น “ผู้มีความรู้” ในลักษณะที่เป็นความรู้จากประสบการณ์ หรือความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) การอธิบายและการเขียนออกมาเป็นความรู้ที่ชัดแจ้ง จับต้องได้ ยิ่งทำไม่ได้ แต่ทำให้ดูได้ ทำงานให้สำเร็จมีผลสัมฤทธิ์สูงอย่างน่าชื่นชมได้ (วิจารณ์ พานิช, 2552)
          การจัดการความรู้เป็นการส่งเสริมให้คนเข้าแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกลุ่ม  ผู้ที่ต้องการทำงานแบบเดียวกัน หรือคล้ายคลึงกันให้เกิดผลสัมฤทธิ์ดีเยี่ยม เน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การจัดการความรู้เริ่มจากความสำเร็จ แสดงว่า บุคลากรที่ร่วมกันสร้างความสำเร็จนั้น เป็นผู้มีความรู้ชนิดฝังอยู่ในคน และเมื่อทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ก็จะหาทางหมุนเกลียวความรู้ผ่านตัวเสริม พลังต่าง ๆ เช่น วงจร SECI (Socialization, Externalization, Combination, Internalization) ฯลฯ การหมุนความรู้ผ่านวงจร ทำให้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป็นพลวัตเรื่อยไปไม่หยุดนิ่ง การวิจัยกับการจัดการความรู้ยังมีธรรมชาติที่ตรงกันข้ามในเรื่องของการดำเนินกิจกรรม การวิจัยเป็นกิจกรรมที่มีการเริ่มต้นและมีการสิ้นสุด แต่การจัดการความรู้เป็นกิจกรรมที่หมุนเป็นพลวัตเรื่อยไปไม่มีจุดจบ หรือการสิ้นสุด การจัดการความรู้เน้นที่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Knowledge Sharing) สำหรับให้แต่ละกลุ่ม/ หน่วยงานย่อย เลือกและปรับเอาความรู้ไปใช้ในการทำงาน และสร้างความรู้หรือยกระดับความรู้ขึ้นจากการทำงาน การจัดการความรู้ตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า แต่ละหน่วยงานย่อยมีทั้งความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ และพร้อมที่จะให้บุคลากรในหน่วยงานอื่นเข้ามาเรียนรู้ และในขณะเดียวกัน หน่วยงานย่อยนั้นก็มักจะมีปัญหาหรือยังทำงานไม่ได้ผลดีนักในบางเรื่อง และอยากเรียนรู้จากหน่วยงานอื่นภายในองค์กรหรือภายนอกองค์กร หากทุกหน่วยงานย่อยประกาศหรือเปิดเผยว่า “ความสำเร็จของตนคืออะไร” และ “ปัญหาของตนคืออะไร” ก็จะช่วยเปิดโอกาสของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่จริงจัง เกิดระหว่างหน่วยงานย่อยที่ทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้ดีกับหน่วยงานที่ยังมีปัญหาในการทำงานเรื่องนั้น
          ดังนั้น การจัดการความรู้กับนวัตกรรมเป็นการใช้ความรู้คนละแบบ นวัตกรรม (Innovation) กับการจัดการความรู้มีความเหมือนกันตรงที่ต่างก็เป็นกระบวนการใช้ความรู้ เพื่อให้เกิดมูลค่าและคุณค่า แต่กระบวนการทั้งสองมีความแตกต่างกัน โดยหลักของนวัตกรรม คือ ความแปลกใหม่ ก้าวกระโดด หรือแตกต่างจากของเดิมหรือวิธีการเดิมอย่างมากมาย แต่การจัดการความรู้ไม่ได้เน้นที่ผลการเปลี่ยนแปลงแบบนั้น การจัดการความรู้เน้นที่การเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ทำต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง และทำในทุกหน่วยงานย่อยในองค์กร หวังผลรวมและผลทวีคูณ (Synergistic Effect) ของการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาย่อย ๆ เหล่านั้น จนเกิดเป็นผลที่ยิ่งใหญ่ ที่อาจจะไม่คาดฝันมาก่อน นวัตกรรมสามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยอาศัยความรู้ ที่เป็นระบบ มีเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม แต่การจัดการความรู้เน้นสร้างความสำเร็จเล็ก ๆ แต่มีจำนวนมากชุด โดยเป้าหมายภาพรวมไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่มีพลังแรงบันดาลใจและคุณค่าร่วมกันสูงมาก กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการพัฒนางานของแต่ละหลายหน่วยงานย่อยเหล่านี้ จะทำให้เกิดผลยิ่งใหญ่ที่ไม่คาดฝัน นวัตกรรมชิ้นหนึ่ง ๆ มีจุดเริ่มต้น และมีจุดสิ้นสุด แต่การจัดการความรู้เป็นกิจกรรมที่ทำต่อเนื่อง เป็นพลวัตไม่สิ้นสุด มีพลังต่อเมื่อทุกคนและทุกหน่วยงานในองค์กรทำอย่างเป็นนิสัย และทำเป็นอัตโนมัติ


สรุป   การนำความรู้และการเรียนรู้มาสร้างคุณค่าและมูลค่า ต้องนำมาผ่านกระบวนการให้ครบทั้ง 3 มุม คือ มุมของการวิจัย มุมของนวัตกรรม และมุมของการจัดการความรู้ ที่มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอยู่ตลอดเวลา

………………………….