![]() |
||
การรักษาสุขภาพตามฤดูกาลด้วยการแพทย์แผนไทยโดย อาจารย์วุฒิ วุฒิธรรมเวช การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอเป็นสิ่งที่ดี เพื่อป้องกันการเกิดโรค บรรเทาอาการของโรค ตลอดจนการมีชีวิตที่เป็นปกติสุข ทางการแพทย์แผนไทยถือว่า “การที่จะมีสุขภาพที่ดีได้ต้องประกอบกันทั้งสุขภาพกายและจิตใจ” มูลของโรค ๑. มูลเหตุของการเกิดโรค ๘ ประการ
๒. มูลเหตุของการเกิดโรค ๖ ประการ ตามคัมภีร์ธาตุวิวรณ์ มีดังนี้
มูลของโรค เป็นสาเหตุที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอ อันเป็นเหตุทำให้เกิดโรคได้ในทุกฤดูกาล เมื่อหลีกเลี่ยงมูลของโรคแล้ว ต้องหลีกเลี่ยงและป้องกันการเจ็บป่วยที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของวัย เวลา ฤดูกาล และสถานที่ภูมิประเทศตลอดจนสิ่งแวดล้อมต่างๆ ด้วย (อายุสมุฏฐาน กาลสมุฏฐาน อุตุสมุฏฐาน และประเทศสมุฏฐาน) อุตุสมุฏฐาน ฤดู ๓ รสยาประจำฤดู ๓ รสยาแก้ตามวัย รสยาแก้ตามกาล ๓ ๒. กาลกลางคืน ประเทศสมุฏฐาน ประเทศเป็นที่ตั้งที่เกิดของโรค มี ๔ ประการ คือ รสยาประจำธาตุ การรักษาสุขภาพในคิมหันตฤดู (ฤดูร้อน) คิมหันตฤดู หรือฤดูร้อน เริ่มนับตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๔ ไปจนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ รวมเวลา ๔ เดือน ในระยะนี้เป็นเวลาที่พื้นโลกมีความร้อนสูงขึ้น ร่างกายของคนเรากระทบกับความร้อน ทำให้สมุฏฐานเตโช (ธาตุไฟ) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พิกัดสันตัปปัคคี (ไฟสำหรับอบอุ่นร่างกาย) พลอยกำเริบมากขึ้น ถ้าจะเกิดโรค ก็มักเกิดเนื่องจากเตโชธาตุ น้ำดี โลหิตกำเริบหรือพิการ ดังนั้น การป้องกันและรักษาสุขภาพในช่วงฤดูร้อน ก็คือ การหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคหรืออาการที่ทำให้เพิ่มอุณหภูมิของร่างกายจนถึงขั้นผิดปกติ เช่น อาหารที่เหมาะสำหรับฤดูร้อน พืชผัก ได้แก่ ถั่วพู แตงกวา แตงร้าน แตงไทย ถัวฝักยาว ถั่วแขก ผักกาดขาว ผักบุ้ง กะหล่ำปลี ใบบัวบก กระเจี๊ยบมอญ สายบัว ผักกะเฉด ผักกูด ผักโขม ผักชีฝรั่ง ดอกแค ยอดแค ขี้เหล็ก สะเดา ตำลึง มะระ คื่นฉ่าย ผักกาด แครอท หัวผักกาด ฟัก น้ำเต้า ผักกะสัง ผักหวาน หัวปลี หยวกกล้วย เตยหอม กระถิน ชะอม ฟักทอง เหง้าหวาย หัวลูกตาลอ่อน ยอดอ่อนมะพร้าว ย่านาง ยอดฟักทอง ใบยอ ถั่วงอก มะเขือ มะเขือพวง ผักปลัง ดอกขจร หัวลูกมะพร้าวอ่อน ใบมะยม ฝักเพกา ใบกรุงเขมา (หมาน้อย) กระพังโหม ถั่วเขียว บวบ ผลไม้ ได้แก่ แตงโม ชมพู่ มะละกอ แตงไทย ลูกตาลอ่อน สาลี่ แอปเปิ้ล ฝรั่ง แก้วมังกร รากบัวหลวง เม็ดบัว กระจับ มังคุด การปรุงอาหารนั้น ควรปรุงให้ครบถ้วน หาใช่ใช้แต่รสใดรสหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่เน้นส่วนปรุงหลักตามฤดูกาล นอกจากอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศแล้ว ยังมีโรคที่มาพร้อมกับความแห้งแล้ง เช่น โรคท้องร่วง อหิวาตกโรค เป็นต้น การรักษาสุขภาพในวสันตฤดู (ฤดูฝน) วสันตฤดู หรือฤดูฝน เริ่มนับตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๘ ถึง วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ รวมเวลา ๔ เดือน เป็นช่วงที่มีอากาศร้อนอบอ้าว มีความชื้นสูง บางครั้งมีความหนาวเย็นผสมด้วย ทำให้ร่างกายมีความร้อนและความชื้นสะสมสูงขึ้น อากาศถูกแทรกด้วยไอน้ำมากขึ้น การหมุนเวียนของเลือดลมในร่างกายไม่เป็นปกติ ทำให้สมุฏฐานวาโย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พิกัดกุจฉิสยาวาตา (ลมพัดในท้องแต่อยู่นอกลำไส้) พลอยหวั่นไหวกำเริบขึ้น การเกิดโรคมักเกิดเนื่องจากวาโยธาตุกำเริบ หรือพิการ ดังนั้น การป้องกันรักษาสุขภาพในหน้าฝนจึงควรหลีกเลี่ยงสาเหตุต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดโรคได้ เช่น อาหารที่เหมาะสำหรับฤดูฝน พืชผัก ได้แก่ ขิง ข่า ตะไคร้ ใบกะเพรา กระชาย แมงลัก สะระแหน่ ช้าพลู ขมิ้นขาว ขมิ้นชัน ผักชีฝรั่ง ผักชีหอม ผักชีลาว โหระพา หอม กระเทียม ใบมะกรูด พริกไทย พริกหยวก พริกชีฟ้า ผักหูเสือ ผักแพรว หมุย (สมัด) ดอกกะทือ ดอกกระเจียว ใบมะตูม ผักไผ่ หน่อไม้ งา เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เปราะหอม ผักแขยง กุยฉ่าย ผลไม้ ได้แก่ ทะเรียน ละมุด ลำไย ลิ้นจี่ นอกจากอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศแล้ว ยังมีโรคที่มักระบาดในฤดูฝน เช่น โรคฉี่หนู โรคทางเดินอาหาร ท้องอืด จุกเสียดแน่น โรคไข้เลือดออก โรคไข้มาลาเรีย เป็นต้น การรักษาสุขภาพในเหมันตฤดู (ฤดูหนาว) เหมันตฤดู หรือฤดูหนาว นับเริ่มตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๑๒ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔ รวมเวลา ๔ เดือน ในช่วงนี้มีการเปลี่ยนแปลงของอากาศอย่างรวดเร็ว ความชุ่มชื่นในฤดูฝนที่เกิดจากลมใต้เปลี่ยนไป เมื่อลมเหนือพัดพาเอาความหนาวเย็นและความแห้งแล้งเข้ามาแทนที่ การเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน ถ้าร่างกายไม่แข็งแรงอาจเกิดการเจ็บป่วยได้ ส่วนใหญ่มักทำให้สมุฏฐานอาโป (ธาตุน้ำ) พิกัดเสมหะ กำเริบหย่อนหรือพิการได้ ในหน้าหนาวเป็นเหตุทำให้เสมหะทั้ง ๓ ประการ คือ ศอเสมหะ อุระเสมหะ และคูถเสมหะ เป็นไปได้ทั้งกำเริบ หย่อน และพิการ ๑. ศอเสมหะกำเริบ หมายถึง มีเสมหะมากขึ้น เช่น เกิดการอักเสบในคอ อาจเกิดจากละอองเกสรดอกไม้ หรือขนของต้นไม้ที่ทำให้เกิดการระคายเคือง หรือมีพิษ หรือเกิดจากการปรับตัวของร่างกายไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ หรือได้รับเชื้อโรคที่ปลิวมากับลม หรือที่มากับสัตว์ที่ย้ายถิ่น เช่น ไข้หวัดต่างๆ ไข้กำเดา ที่มากับนกเป็ดน้ำ หรือนกย้านถิ่นตามฤดูกาล เป็นต้น ๒. ศอเสมหะหย่อน หมายถึง เสมหะที่หล่อเลี้ยงในคอ ในโพรงจมูกแห้ง จากการสัมผัสอากาศที่แห้ง ทำให้น้ำเมือกในทางเดินหายใจที่คอยป้องกันหรือดักจับเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกายแห้งลง อาจเกิดโรคได้ง่าย ๓. ศอเสมหะพิการ หมายถึง เสมหะในคอมากเกินไปหรือน้อยเกินไป จนไม่สามารถทำหน้าที่ในการหล่อลื่น ป้องกัน หรือดักจับเชื้อโรคที่จะเข้าสู่ร่างกายได้ อาจทำให้เกิดโรคในทางเดินหายใจที่รุนแรงได้ ๔. อุระเสมหะ ก็อาจกำเริบหย่อนหรือพิการได้เช่นเดียวกันกับศอเสมหะ อาการของโรคมักต่อเนื่องกัน ๕. คูถเสมหะกำเริบ หมายถึง เสมหะที่หล่อลื่นในระบบทางเดินอาหารมากเกินไป หรือทำหน้าที่เกินกว่าที่ควร หรือเกิดการติดเชื้อในทางเดินอาหาร ท้องเสีย ท้องเดิน ลงท้อง เป็นต้น อาจเกิดจากการรับประทานอาหารผิดเวลา เนื่องจากหน้าหนาวเวลากลางวันและกลางคืนเปลี่ยนแปลงมาก อาจเกิดจากอาหารที่แปลก หรือรับประทานมากเกินไป เนื่องจากในหน้าหนาวมักมีพืชผลออกมามาก ๖. คูถเสมหะหย่อน หมายถึง เสมหะที่หล่อลื่นในระบบทางเดินอาหารน้อยลง หรือการทำหน้าที่น้อยกว่าปกติ ทำให้ท้องผูก หรือทำให้ความเป็นกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น หรือทำให้น้ำย่อยกัดกระเพาะอาหาร เป็นแผลในกระเพาะอาหาร ปวดท้อง ท้องเสีย เป็นต้น (เสมหะหรือน้ำเมือกในกระเพาะอาหารทำหน้าที่เปลี่ยนสภาวะความเป็นกรดของน้ำย่อยให้เป็นกลาง และกั้นไม่ให้น้ำย่อยซึ่งมีความเป็นกรดสูง สัมผัสกับกระเพาะอาหาร เสมหะหรือน้ำเมือกในลำไส้ทำหน้าที่หล่อลื่นให้การขับถ่ายสะดวกขึ้น) อาจเกิดจาก การรับประทานอาหารผิดเวลา การปรับตัวของร่างกายและจิตใจไม่ดี เกิดภาวะความเครียด เกิดภาวะหดเกร็งของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และหลอดเลือด เมื่อกระทบความหนาวเย็น ทำให้การไหลเวียนของเลือดและสารน้ำในร่างกายแปรปรวนไป ๗. คูถเสมหะพิการ หมายถึง เสมหะที่หล่อลื่นในระบบทางเดินอาหารมากหรือน้อยเกินไป จนทำให้เสียหน้าที่ไป อาการของโรคก็มีความรุนแรงมากขึ้น นอกจากเสมหะแล้ว ธาตุน้ำอื่นๆ ในร่างกายก็อาจกำเริบ หย่อน หรือพิการได้เช่นกัน เช่น ไขข้อ มันเหลว มันข้น เลือด โดยเฉพาะส่วนที่อยู่ใกล้ผิวหนังจะกระทบมากที่สุด จากการกระทบอาการที่หนาวเย็น เป็นต้น ดังนั้น การป้องกันรักษาสุขภาพในหน้าหนาว จึงควรหลีกเลี่ยงสาเหตุต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดโรคได้ เช่น ๒. ควรดูแลร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ สวมเสื้อผ้าให้เหมาะสม นอนในห้องที่ให้ความอบอุ่น ไม่ควรผึ่งลม ๓. ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่แสลงกับเสมหะ เช่น อาหารรสเย็น รสหวาน รสมัน และรสเค็ม เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้เสมหะกำเริบได้ ๔. ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีร่างกายผอม ไขมันน้อย อาจมีปัญหาเรื่องผิวหนังแห้ง แตกระแหง ทำให้คันหรือติดเชื้อได้ง่าย จึงควรใช้สบู่ ครีม หรือสมุนไพรที่มีสรรพคุณรักษาผิว สมุนไพรที่ช่วยรักษาผิว ทำให้ผิวชุ่มชื่น เช่น ชะเอมเทศ ชะเอมไทย เปลือกกล้วยหอม ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน ว่านนางคำ เป็นต้น ควรใช้สบู่อ่อนๆ เช่น สบู่สำหรับเด็ก เป็นต้น อาจใช้ครีมหรือโลชั่นทาผิวหลังอาบน้ำ น้ำมันสมุนไพรที่ใช้รักษาผิวได้ดี เช่น น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว เป็นต้น ๕. ควรใช้ยารสสุขุม รสจืด และรสเปรี้ยว และควรนำรสยาตามอายุสมุฏฐานมาพิจารณาร่วมด้วย เช่น ๕.๒ มัชฌิมวัย สมุฏฐานดีและโลหิต ควรใช้อาหารรสสุขุม จืด ขม เปรี้ยว ฝาด เค็ม ๕.๓ ปัจฉิมวัย สมุฏฐานลมกำเริบ เสมหะและเหงื่อแทรก ควรใช้อาหารรสสุขุม จืด เปรี้ยว เผ็ดร้อน หอมเย็น ขม เค็ม ฝาด ในมื้อเช้าและมื้อเย็นควรลดอาหารรสเย็นและรสเค็มลง เนื่องจากเป็นอาหารแสลงกับเสมหะ ตอนเช้าเป็นสมุฏฐานเสมหะ ส่วนตอนเย็นเป็นสมุฏฐานวาตะที่เจือตามมาจากฤดูฝน ในผู้สูงอายุถ้าให้เสมหะและวาตะกำเริบร่วมกัน จะทำให้สุขภาพอ่อนแอ อาจทำให้ระบบหายใจ การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจติดขัดได้ อาหารที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุในฤดูนี้ ควรมีรสสุขุม เปรี้ยว เผ็ดร้อน หอมร้อน ขม เค็ม อาหารที่เหมาะสำหรับฤดูหนาว ในฤดูหนาว สิ่งที่ควรทำคือการกระตุ้นให้ร่างกายมีความอบอุ่นอยู่เสมอ ความจริงแล้วอาหารที่ใช้ในฤดูฝนส่วนใหญ่ที่มีรสเผ็ดหอมร้อน ก็สามารถนำมาปรุงเป็นอาหารในฤดูหนาวได้ดี และควรเพิ่มอาหารดังนี้เข้าไปด้วย เช่น พืชผัก ได้แก่ มะเขือเทศ ยอดมะกอก ยอดมะม่วงหิมพานต์ มะขามสด ยอดมะขาม ผักติ้ว ผักเม็ก ผักกระโดน ยอดกระเจี๊ยบแดง มะละกอ มะเขือขื่น มะอึก มะแว้ง มะเขือพวง ผักพาย สาหร่ายน้ำจืด สาหร่ายน้ำเค็ม ผักตบ แพงพวยน้ำ ผักแว่น ผักลิ้นปี่ แมงลัก สะระแหน่ ขมิ้นขาว ขมิ้นชัน ผักชีฝรั่ง ผักชีหอม ผักชีลาว โหระพา ผักตั้งโอ๋ ตะลิงปลิง ลูกมะกอกชะมวง มะรุม ผลไม้ ได้แก่ ส้มต่างๆ มะนาว มะเฟือง มะไฟ สับปะรด ลางสาด มะม่วงดิบ กระท้อน ระกำ มะยม มะเม่า การปรุงอาหารนั้น ควรปรุงให้ครบถ้วน ไม่ควรใช้รสใดรสหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่เน้นส่วนปรุงหลักตามฤดูกาล นอกจากอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศแล้ว ยังมีโรคที่มากับลมหนาวตามนกที่ย้ายถิ่น หรือเกสรดอกไม้ที่ปลิวมา เช่น ไข้เปลี่ยนฤดู ไข้หวัดนก ไข้ดอกสัก แพ้อากาศ ผื่นคัน ลมพิษ เป็นต้น ......................................
|
||
![]() |