ตรีบูร                                         โดย.. นิจ หิญชีระนันทน์

              
        ตรีบูร   เป็นคำซึ่งมีปรากฏอยู่เป็นครั้งแรกในจารึกหลักที่ 1 ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ตามข้อความที่บรรยายเกี่ยวกับ
กำแพงที่ล้อมรอบเมืองสุโขทัย ในด้านที่ 2 บรรทัดที่ 7-8 ดังนี้ "รอบเมืองสุโขทัยนี้ ตรีบูร ได้สามพันสี่ร้อยวา"
      คำว่า ตรีบูร  เป็นคำประสมจากคำ ตรี กับ บูร คำ ตรี โดยทั่วไปแปลว่าสาม ส่วนคำ บูร นั้นแปลว่ากำแพง มีบทนิยาม
ความหมาย น. เครื่องกั้น เครื่องล้อม ที่ก่อด้วยอิฐ ดิน หรือหิน เป็นต้น (ข. กำแพง)
      คำ "ตรีบูร" นี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้บทนิยามความหมาย น. เมืองอันมีป้อมมีค่าย 3 ชั้น,
เช่นเมืองสุโขทัยนี้ตรีบูรได้สามพันสี่ร้อยวา (จารึกสยาม 1/2/7 อยุธยาไพโรจน์ใต้ ตรีบูร (กำสรวล) (ส. ตริปุร ว่าป้อม 3 ชั้น)
     นอกจากกำแพงสามชั้นดังกล่าวแล้วว่า ในภาษาไทยยังมีคำว่า กำแพงเจ็ดชั้นอยู่ด้วย โดยหมายถึงมนตร์บทหนึ่ง หรือไม้พุ่ม
ชนิดหนึ่ง โดยมิได้มีความหมายเกี่ยวกับกำแพงเมืองแต่ประการใด
     สงครามเป็นสิ่งที่เริ่มมีมาพร้อมกับมนุษย์ การก่อสร้างกำแพงเกิดมีขึ้นในระยะไล่เลี่ยกันกับที่เกิดมีสงครามขึ้น สิ่งแรกที่
มนุษย์รู้จักสร้างขึ้นคือระเนียดหรือกำแพงไว้สำหรับป้องกันข้าศึกศัตรู ด้วยเหตุนี้รากศัพท์ของคำว่า "เมือง" ในทุกภาษา
จึงมาจากคำว่า รั้วหรือกำแพง ดังตัวอย่างข้างล่างนี้


      อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า ทางแคว้นล้านนาและแคว้นล้านช้างถือคำว่า "เชียง" เป็นคำเรียกว่ากำแพง เช่นเดียวกับที่เรียกว่าเมือง
เช่น เชียงใหม่ เชียงราย เชียงแสน เชียงของ เชียงตุง เชียงรุ่ง ฯลฯ นอกจากนั้น คำว่า กำแพง ในภาษาจีนก็เรียกว่า "เฉิง" (ซึ่งมี
สำเนียงคล้ายกับคำว่าเชียง) สิ่งมหัศจรรย์ระดับโลกของจีนนั้นเรียกว่า "ฉังเฉิง" (กำแพง + ยาว) และคำว่าเมือง ก็คือคำประสม
ของคำว่า กำแพง + ตลาด/ชุมชน คือ "เฉิงเสื้อ"
     
      จากการศึกษาและเปรียบเทียบคำ "ตรีบูร" ในวรรณกรรมแหล่งต่างๆ ปรากฏว่าความหมายของคำนี้ อาจจะจำแนกออกได้เป็น
2 ประการ ในประการแรกอาจจะมีความหมายโดยตรงดังเป็นที่เข้าใจกันอยู่ทั่วไปแล้วว่าคือ "กำแพงสามชั้น" ส่วนอีกประการหนึ่ง
นั้นมีความหมายถึงกำแพงเมืองทั่วๆ ไป   โดยไม่จำกัดว่าจะมีกี่ชั้น ตัวอย่างเช่นโคลงกำสรวลศรีปราชญ์ ตอนที่กล่าวชมกรุงศรี
อยุธยาว่า "อยุธยาไพโรจน์ใต้ ตรีบูร" ทั้งที่กรุงศรีอยุธยาไม่ได้มีกำแพงสามชั้นเหมือนอย่างสุโขทัย แม้จะมีผู้พยายามสันนิษฐานว่า
อาจจะนับรวมกำแพงพระราชวังเข้าไปด้วย อย่างที่ถือว่า "กำแพงวังตั้งอยู่ในกำแพงเวียง"      (The Wall city within the
city wall) แต่ก็ไม่เคยปรากฏว่ามีคำ "ทวิบูร" ใช้อยู่ในที่ใด   นอกจากนั้น จารึกหลักที่ 76 ศิลาจารึกวัดเชียงมั่น ก็กล่าวถึงการ
สร้างกำแพงเมืองเชียงใหม่ว่าเป็น "ตรีบูร"

      อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า           ผลของการขุดค้นและตรวจสอบที่กำแพงเมืองสุโขทัยระหว่าง พ.ศ. 2522 - 2524
ของกรมศิลปากร ได้พบเศษภาชนะลายครามของจีนสมัยราชวงศ์เหม็ง (พ.ศ.1911 - 2181) ปะปนอยู่ภายในดินที่ก่อขึ้นเป็น
กำแพงชั้นกลางและชั้นนอก ซึ่งน่าจะมีความหมายว่า กำแพงทั้งสองชั้นนี้สร้างขึ้นภายหลัง พ.ศ. 1911 ซึ่งเป็นสมัยศรีอยุธยา
ตอนต้น และมีความหมายว่า เดิมสุโขทัยย่อมมีกำแพงชั้นในอยู่ชั้นเดียวแต่การที่จารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราชกล่าวในจารึก
หลักที่ 1 ว่าเป็น "ตรีบูร" นั้น น่าจะเป็นการเสริมความเข้าใจให้หนักแน่นว่า "ตรีบูร" หมายถึงกำแพงเมืองทั่วๆ ไปโดยไม่จำกัด
ว่าจะมีกี่ชั้น

      อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า คำว่า ตรี หรือคำที่ประกอบด้วยคำว่า ตรี ที่มิได้แปลว่าสาม นั้นมีอยู่หลายคำ เช่นคำว่า "ตรี" ซึ่งมี
ที่มาจากภาษาเขมรนั้นแปลว่า   ปลา  คำ   "ตรีทิพ"     มีบทนิยามความหมายว่า น.สวรรค์ชั้นดาวดึงส์, สวรรค์ชั้นที่ 2 หรือ
ชั้นวิเศษสุด, สวรรค์ทั่วไป (ส.ตุริทิว) ก็ไม่มีความหมายใดที่เกี่ยวกับเลขสาม และคำ "ตรีปวาย" ในพิธีแห่พระนารายณ์ของ
พราหมณ์ กับคำว่า     "ตรียัมปวาย" ในพิธีโล้ชิงช้ารับพระอิศวร ก็ไม่มีความหมายอะไรที่เกี่ยวกับเลข 3 หรือจำนวน 3 เลย

       มีคำในภาษาบาลีที่มีรูปและสำเนียงคล้ายคำ "ตรี" อยู่ 3 - 4 คำ ซึ่งมีความหมายเกี่ยวกับเปลือกนอกหรือกำแพง คือคำ
"ติรีฏกํ" เปลือกไม้ (Tirtakam : bark of a tree) คำ "ติโร" ภายนอก (Tiro : outside, on the other side ;
across, over, beyond) คำ "ติโรธานํ" กำบัง ปกป้อง ปกงำ     (Tirodhanam : a cover, veil, lid ;
concealing)และคำ "ติโรกุฑเฑ" ภายนอกแห่งฝา (Tirokudde : outside the wall or fence, over the wall)

       เมืองสุโขทัยล้อมรอบอยู่ด้วยกำแพงขนาดใหญ่ซึ่งมีความสูงถึง 8 เมตร ลักษณะเป็นกำแพง 3 ชั้นดังระบุไว้ในศิลาจารึก
ล้อมเนื้อที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า วัดร่วมในได้กว้างประมาณ 1.4 กิโลเมตร ยาวประมาณ 1.8 กิโลเมตร พิเคราะห์จากระยะ
ในแผนที่เทียบกับคำบรรยายในศิลาจารึก "…รอบเมืองสุโขทัยนี้ตรีบูร ได้สามพันสี่ร้อยวา…" อะเล็กซานเดอร์ บี. กริสโวลด์
ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ได้สรุปว่าระยะ 1 วา ของสมัยสุโขทัยนั้นมิใช่ 2.00 เมตร ดังที่กำหนดใช้อยู่
ในปัจจุบัน หากมีค่าจากการคำนวณเปรียบเทียบเพียง 1.86 เมตรเท่านั้น     ในประเด็นนี้ จะขอเท้าความย้อนไปถึงรัชสมัย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้วยทรงมีพระราชดำริว่า "พระราชอาณาจักรสยามในเวลานี้ยังไม่มีวิธีชั่งตวงวัด
เป็นสมานรูป ซึ่งกำหนดเป็นมาตรา และบัญญัติเป็นกฎหมาย สมควรจะมีวิธีเช่นที่กล่าวขึ้น" จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตราพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัด พระพุทธศักราช 2466 ขึ้น โดยวิธีเมตริก สำหรับมูลจำนวนหน่วยแห่งความยาว
ให้นามเป็นเมตร      คือขนาดยาวซึ่งสำนักงานมาตราชั่ง ตวง วัด ของนานาประเทศทำขึ้น กำหนดเป็นมาตรา และโดยวิธี
ประเพณี ให้นามเป็นวา ให้เท่ากับสองเมตร ทั้งนี้ โดยกำหนดตัวเลขที่ใกล้เคียงกับความยาวอันลงตัว ไม่มีเศษในระบบ
เมตริกเป็นสำคัญ ด้วยเหตุนี้ หนึ่งวา อันเป็นระยะที่วัดโดยบุคคลกางแขนเหยียดตรงออกทั้งสองข้าง           ซึ่งคงจะยาว
ราวสองเมตรหย่อน จึงถูกกำหนดให้เท่ากับสองเมตรเต็ม ดังนั้น ข้อสรุปของ อะเล็กซานเดอร์ บี. กริสโวลด์ ข้างต้น จึงไม่
เป็นการประหลาดอันใด

       พิจารณาถึงขนาดของเมืองสุโขทัยภายในร่วมกำแพงเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า คำนวณได้ประมาณ 1,600 ไร่ เมื่อเปรียบ
เทียบกับเมืองเชียงใหม่ ปรากฏว่ามีเนื้อที่เท่ากัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองนครศรีธรรมราชซึ่งสร้างขึ้นบนสันทรายมหึมา
ปรากฏว่าสุโขทัยมีเนื้อที่มากกว่าเป็นสองเท่าเศษ อย่างไรก็ดี ทั้งสามเมืองดังกล่าวแล้วนี้ ยังมีขนาดเล็กกว่าพุทธมณฑลที่
ตำบลศาลายา อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสยาวด้านละ 2 กิโลเมตร คิดเป็นเนื้อที่ได้ 2,500
ไร่ ตามที่กำหนดไว้ด้วยตัวเลขของ 25 พุทธศตวรรษ

       วิวัฒนาการของกำแพงเมืองเริ่มขึ้นในยุโรปก่อน กล่าวคือมีการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณะของกำแพงเมือง เริ่มในคริสต์
ศตวรรษที่ 15 มีการพัฒนาทางเทคนิควิทยาและมีการประดิษฐ์ดินปืนขึ้น    ทำให้อาวุธประเภทปืนผาหน้าไม้มีอานุภาพ
รุนแรงขึ้น ยุทธวิธีก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ขอบเขตที่ว่างระหว่างคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่ายที่เรียกว่า   no man's land ก็มีระยะ
เพิ่มขึ้น กำแพงเมืองอย่างเดิมนั้นไม่พอสำหรับจะป้องกันข้าศึกได้แล้วต้องปรับปรุงเสียใหม่ มีงานดินเพิ่มขึ้น มีการขุดคู
กว้างขึ้น มีการเพิ่มเติมเชิงเทินและป้อมเข้ากับกำแพงเดิม โดยเฉพาะตามมุมต่างๆเพื่อเป็นฐานยิงต้องใช้เนื้อที่เพิ่มอีกมาก
และเนื่องจากตัวเชิงเทินนี้เองก็อาจจะถูกยิงเอาได้ จึงต้องทำให้มีลักษณะลีบเป็นปลายแหลม ครั้นต่อมาอีก 3 - 4 ศตวรรษ
ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่เกิดขึ้นอีก แต่คราวนี้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ตรงกันข้ามกับคราวก่อนกลับลื้อกำแพงลง
กล่าวคือในระยะปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 กับต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19      ปืนใหญ่สนามสำหรับยิงระยะไกลได้รับการ
ปรับปรุงและพัฒนาให้มีสมรรถนะสูงขึ้นอย่างมาก เป็นผลให้ระบบกำแพงไร้ประโยชน์ลง เนื่องจากข้าศึกสามารถใช้ลูกปืน
ใหญ่ยิงข้ามให้เข้ามาตกและระเบิดได้ในเมือง แทนยุทธการแบบเก่าที่ข้าศึกจะต้องลงลุยคูและปีนข้ามกำแพงเพื่อเข้าเมือง
สภาพของยุทธการเช่นนี้ เป็นสากลและเป็นโลกาภิวัตน์ ในที่สุดทุกเมือง ในทุกประเทศรวมทั้งประเทศไทยก็ทยอยกันเลิก
ใช้กำแพงเมืองคูเมือง และส่วนใหญ่ก็รื้อกำแพงและถมคูเมืองเสียจนแทบจะไม่เหลือให้เห็นกันอีกต่อไป

       ในขณะที่เมืองโบราณหลายแห่งถูกชุมชนใหม่เข้าครอบงำและขยายตัว โดยมีการพัฒนาก่อสร้างอาคาร ถนนหนทาง
ขึ้นแทนที่ของเดิมจนแทบจะไม่เหลือพยานหลักฐานทางประวัติศาสตร์สำหรับให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไปนั้น นับว่าเป็น
โชคดีของคนรุ่นนี้และรุ่นหลัง ในการที่เมืองสุโขทัยเก่านี้มีระยะทางห่างจากชุมชนหรือเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่ถึง 12 กิโลเมตร
เป็นเหตุประการหนึ่งที่ทำให้เมืองสุโขทัยเก่าพร้อมทั้งโบราณสถานต่างๆ ยังคงดำรงลักษณะดั้งเดิมเป็นส่วนใหญ่มาได้
จนถึงทุกวันนี้ ทั้งนี้รวมทั้งกำแพงเมืองสามชั้น (ตรีบูร) ด้วย     นับเป็นปัจจัยในการรักษามรดกทางวัฒนธรรมของชาติ
และประวัติอันสำคัญยิ่งของเมือง เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาอย่างนิยมชมชอบด้วยความภาคภูมิใจสืบไป

               < back >