ตลาดปสาน
เป็นคำซึ่งมีปรากฏอยู่ใน จารึกหลักที่ 1 ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ตามข้อความในด้านที่
3 บรรทัดที่
1-3 ว่า
เบื้องตีนนอนเมืองสุโขทัยนี้ มี ตลาดปสาน
มีพระอจนะ มีปราสาท มีป่าหมากพร้าว ป่าหมากลาง มีไร่ มีนา มีถิ่นถาน
มีบ้านใหญ่บ้านเล็ก
คำบรรยายที่ว่าเบื้องตีนนอนหรือทิศเหนือของเมืองสุโขทัยมีวัตถุสถานอันใดอยู่บ้างนั้น เมื่อพิจารณาตรวจสอบและ
เปรียบเทียบกับหลักฐานที่เหลืออยู่เป็นประจักษ์พยานแล้ว
ทำให้ทราบได้ว่า ณ ทิศนี้เมื่อพ้นจากประตูเมืองซึ่งเรียกกันว่า
ประตูศาลหลวง ออกไปแล้วนอกจากจะมีวัดศรีชุมอันมีพระประธานซึ่งในศิลาจารึกเรียกว่า
"พระอจนะ" เป็นพระพุทธรูป
ปางมารวิชัยขนาดมหึมา และมีวัดพระพายหลวงซึ่งในศิลาจารึกเรียกว่า "ปราสาท"
ตามเค้าของสถาปัตยกรรมแบบขอม
ตลอดจนมีป่าหมากพร้าว ป่าหมากลาง มีไร่มีนาแล้ว ยังมีสถานสำคัญอีกอย่างหนึ่งซึ่งในศิลาจารึกระบุว่า
ตลาดปสาน
ดังกล่าวแล้ว
คำว่า ตลาดปสาน คือ ปสาน
นี้ ยังไม่เป็นที่แน่นอนว่ามาจากภาษาอะไร คณะกรรมการชำระพจนานุกรมแห่งราช
บัณฑิตยสถาน กล่าวถึงประวัติหรือที่มาของคำ โดยถือหลักว่า
คำใดที่แน่ใจว่ามาจากภาษาใด ก็บอกไว้ท้ายคำนั้นๆ
โดยเขียนไว้ในวงเล็บเป็นอักษรย่อ เช่นคำที่มาจากภาษาเขมร "ตังวาย"
น.ของถวาย (ข.) คือแน่ใจว่ามาจากภาษาเขมร
ส่วนคำใดที่ยังไม่แน่ใจว่ามาจากภาษาอะไรแต่มีรูปคล้ายภาษาใดภาษาหนึ่งก็บอกไว้ในวงเล็บว่าเทียบภาษานั้น
ภาษานี้
เพราะฉะนั้นคำว่าปสาน หรือยี่สาน ซึ่งมีความหมายอย่างเดียวกันว่า
น.ตลาดของแห้ง ที่ขายของแห้ง ก็บอกไว้ใน
วงเล็บว่า เทียบเปอร์เซีย bazaar และหมายความว่าเทียบไว้โดยยังไม่แน่ใจว่าเป็นคำที่มาจากภาษาเปอร์เซีย
โดยทั่วไป ตลาดเป็นกลไกหรือเป็นสาธารณูปการที่สำคัญอย่างหนึ่งในระบบเศรษฐกิจของชุมชนนับแต่โบราณมา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตลาดคือที่ซึ่งอุปสงค์กับอุปทานมาพบกันชุมชนหรือเมืองใดๆ
จะขาดตลาดเสียมิได้
คำนิยามสั้นๆ ของ "ตลาด"
คือที่ชุมชนเพื่อชื้อขายสิ่งของต่างๆ ขยายความได้ว่าคือสถานที่และบริเวณซึ่งปรกติ
จัดไว้สำหรับให้พ่อค้าแม่ค้าและลูกค้าใช้เป็นที่ชุมชนเพื่อซื้อขายและแลกเปลี่ยนสินค้าประเภทต่างๆ
อันได้แก่เครื่องอุปโภค
และบริโภค เครื่องมือเครื่องใช้ในการประกอบอาชีพ เครื่องครัว เสื้อผ้า ของชำ
ของป่า ยารักษาโรค ตลอดจน เครื่อง
สำอาง ฯลฯ
ตลาดมักจะมีทำเลที่ตั้งอยู่ในที่ชุมนุมชน
และเป็นแหล่งที่อยู่ใกล้บริเวณแพร่งทางอันสะดวกแก่การสัญจรไปมาและ
การลำเลียงขนส่งด้วยคำที่มีความหมายถึงสถานที่ซื้อขายนี้ เท่าที่พบอยู่ในพจนานุกรม
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2425
มีกล่าวไว้เป็นหลายคำ ดังนี้
 |
พิจารณากันถึงจำนวน ตลาดในเมืองสุโขทัยน่าจะมีกระจายอยู่หลายสิบแห่ง
ทั้งนี้ โดยอาศัยเทียบกับจำนวนตลาด
ในสมัยศรีอยุธยาตาม คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรมตอนที่ระบุว่า
มีตลาดบนบกนอกกำแพงพระนคร ตามชานพระนครบ้าง
ตามฟากกรุงบ้างติดแต่ในรอบบริเวณในขนอนใหญ่ทั้ง
4 ทิศ รอบกรุงเข้ามา จนฟากฝั่งแม่น้ำตรงกรุงและชานกำแพงกรุงนั้นด้วย รวมเป็น
30 ตลาด
ฉะนั้น ตลาดปสานจึงน่าจะเป็นตลาดแห่งหนึ่งในจำนวนหลายสิบแห่งของเมืองสุโขทัย
และน่าจะเป็นตลาดที่มี
ความสำคัญกว่าตลาดอื่นๆ กล่าวคือ เป็นตลาดปสานหลวงหรือตลาดปสานกลาง
อนึ่ง ปรากฏว่าในจารึกหลักเดียวกันนี้
มีข้อความกล่าวถึงประตูเมืองว่า "เมืองสุโขทัยนี้มีสี่ปากประตูหลวง"
และประตู
ด้านทิศเหนือซึ่งอยู่ด้านเดียวกับตลาดปสาน ในปัจจุบันเรียกกันว่า
"ประตูศาลหลวง" มีผู้สันนิษฐานว่า ชื่อนี้
หากเรียก
สืบกันมาแต่สมัยสุโขทัย อาจเป็นชื่อที่กร่อนและกลายมาจากคำว่า
ประตู (ป) สานหลวง ก็ได้ เนื่องจากคำว่า "หลวง"
นั้นแปลว่า ใหญ่ใช้ได้ทั้งกับสิ่งที่ธรรมชาติสร้างและสิ่งที่มนุษย์สร้าง
ตัวอย่างเช่น คำว่า เขาหลวง ทะเลหลวง วิหารหลวง
ประตูหลวง เป็นต้น
ตลาดปสานในเมืองสุโขทัยนี้ น่าจะเป็นสถานที่ซึ่งใช้เป็นทั้งที่จำหน่ายสินค้าและเป็นทั้งที่อยู่อาศัยด้วย
เช่นเดียวกับ
ในสมัยศรีอยุธยาตาม คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ตอนที่กล่าวว่า
"ตลาดวัดท่าราบน่าบ้านเจ้าสัวชี มีตึกแถวยาว
16 ห้องสองชั้นๆ ล่างตั้งร้านขายของ ชั้นบนคนอยู่" ทั้งนี้ย่อมจะเป็นการอำนวยความสะดวกในการผลิตและในการจำหน่ายด้วย
การผลิตและการจำหน่ายสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ
ในสังคมไทยโบราณ มักกระทำ ณ สถานที่ซึ่งใช่ร่วมกันทั้งในการผลิต
และการจำหน่าย แต่แยกเป็นหมู่บ้านหรือละแวกบ้านหัตถกรรมเฉพาะอย่าง เปรียบเทียบสภาพในสมัยสุโขทัย
สมัยศรีอยุธยา
และสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น น่าจะมีลักษณะคลายคลึงกัน คือมีการจำแนกย่านและประเภทสินค้าไว้เป็นสัดส่วนโดยธรรม
เนียมประเพณี (มิใช่โดยกฎหมายหรือข้อกำหนด)
การใช้สถานที่ร่วมกันทั้งในการผลิตและการจำหน่ายและการจำแนกย่าน
มีปรากฏชัดเจนในสมัยศรีอยุธยา ดังปรากฏใน
คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ตอนที่กล่าวว่า
ย่านสำพนี ตีสกัดน้ำมันงา น้ำมันลูกกะเบา
น้ำมันสำโรง น้ำมันถั่ว ขาย 1 บ้านหมู่หนึ่งทำฝาเรือนอยู่แลเรือนหอด้วยไม้ไผ่
กรุกระแชงบ้าง กรุแผงกำบ้าง ทำไว้ขายแลรับจ้างบ้าง 1
บ้านหมู่หนึ่งทำการหล่อเหลกเป็นครกสากเหล็กขายแลตั้งเตาตี
มีดพร้าแลรูปพรรณต่างๆ รับจ้างแลทำไว้ขาย 1
พระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เตชะคุปต์)
ได้กล่าวไว้ถึงคำว่า "ป่า" ในสมัยศรีอยุธยาว่า
อย่าสำคัญว่าเป็นที่ว่างร้างเปลี่ยวเช่นป่าดง แต่ตรงกันข้าม ตำบลที่เรียกว่าป่าในพระนครนั้นกลับเป็นตลาดปสานที่ประชุมคน
คือหมายความว่า ย่านใดที่มีสิ่งใดเป็นพื้น ก็เรียกว่า ป่าของสิ่งนั้นๆ เช่น
ป่าตะกั่วเป็นตลาดขายลูกแหและเครื่องตะกั่ว
นอกจากป่าตะกั่วแล้ว ยังมีป่าผ้าเหลืองซึ่งเป็นย่านขายผ้าไตรจีวร
และยานป่าโทน ป่าเตียบ ป่าขันเงิน ป่ายา ป่าไม้ ป่าเหล็ก
ป่าฟูก ป่าตอง ป่าผ้าเขียว ป่าชมพู ป่าดินสอ ป่าถ่าน ฯลฯ
สืบต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ ในกรุงเทพมหานคร
มีบ้านดอกไม้ (เพลิง) บ้านสาย (รัดประคด) บ้านพานถม บ้าน (ตุ่ม)
นางเลิ้ง บ้านบาตร บ้านบุ บ้านช่างหล่อ คลองโรงไหม คลองโอ่งอ่าง ถนนบ้านตีทอง
ถนนบ้านหม้อ ถนนบ้านดินสอ
ตรอกช่างนาก ตรอกโรงโคม ฯลฯ
ตลาด หรือ ตลาดปสาน ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของบ้านเมือง
ตลาดในปัจจุบันนี้ได้มีวิวัฒนาการ
จากลักษณะของตลาดปสานในสมัยโบราณมาเป็นลักษณะของศูนย์การพาณิชย์อันใหญ่โตมโหฬาร
และมีกิจกรรมและ
ประเภทสินค้าครบวงจร เมื่อมาหยุดจุดเดียวก็หาสินค้าได้ทุกอย่าง อย่างที่เรียกว่าไม้จิ้มฟันยันรถยนต์
ดังที่ปรากฏ
กระจายอยู่ตามส่วนต่างๆ ของเมือง นับเป็นวิวัฒนาการที่น่าสนใจ และน่าติดตามศึกษาต่อไป
<
back >
|