นอกจากศิลาจารึกแล้ว วรรณคดีของไทยที่เก่าที่สุดคือหนังสือ
ไตรภูมิกถา บานแพนกของหนังสือนี้มีข้อความ
ที่อาจตีความได้ว่า พระมหาธรรมราชาลิไทยทรงพระราชนิพนธ์ไตรภูมิกถานี้ขึ้นเมื่อ
พ.ศ. 1888 คือหลังจากที่พระองค์
ได้รับสถาปนาเป็นพระมหาอุปราชครองเมืองศรีสัชนาลัยแล้ว 6 ปี
หนังสือเล่มนี้มีศัพท์และสำนวนเก่าไล่เลี่ยกับศิลาจารึกสมัยสุโขทัย
บางสำนวนคล้ายกับในศิลาจารึกสมัยสุโขทัย
พอที่จะลงความเห็นได้ว่าฉบับเดิมคงแต่งขึ้นในสมัยสุโขทัยจริง สำนวนปัจจุบันอาจแตกต่างจากเดิมบ้าง
เพราะในการ
คัดลอกสืบต่อกันมาหลายทอดอาจมีผิดพลาด และอาจมีผู้ดัดแปลงแก้ไขสำนวนเดิมหรือแทรกข้อความเพิ่มเติมได้
หอพระสมุดวชิรญาณได้ต้นฉบับเรื่องนี้มาจากจังหวัดเพชรบุรีฉบับหนึ่งเมื่อประมาณร้อยปีมาแล้ว
เป็นหนังสือ
ใบลานจารด้วยตัวอักษรขอม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระดำริเห็นว่า
เป็นวรรณคดี
เก่าที่มีคุณค่าและควรจัดพิมพ์เป็นเล่มเพื่อเผยแพร่ และเพื่อเป็นการรักษาเรื่องไว้มิให้สูญ
บานแพนกของหนังสือนี้เรียกชื่อ
หนังสือว่า ไตรภูมิกถา มากกว่าสิบครั้ง แต่สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
ทรงมีพระดำริว่า ประชาชนทั่วไปใน
บ้านเมืองและขอบขัณฑสีมา นิยมขนานพระนามพระเจ้ากรุงสุโขทัยทุกพระองค์ว่า
สมเด็จพระร่วงเจ้า นั้นประการหนึ่ง
และเพื่อให้หนังสือนี้มีชื่อคู่กันกับหนังสือ สุภาษิตพระร่วง ซึ่งรู้จักกันแพร่หลายในขณะนั้นแล้วอีกประการหนึ่งเพราะฉะนั้น
ในการพิมพ์หนังสือนี้เป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2445 จึงทรงใช้ชื่อหนังสือว่า ไตรภูมิพระร่วง
หลังจากนั้นได้มีการพิมพ์หนังสือ
นี้ซ้ำอีก 8 ครั้งด้วยกัน ทำให้ชื่อ ไตรภูมิพระร่วง เป็นที่รู้จักกันทั่วไปมากกว่าชื่อ
ไตรภูมิกถา
การที่เรียกหนังสือนี้ว่า ไตรภูมิพระร่วง
นั้น ที่จริงก็เป็นความสะดวกอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ได้ยินชื่อรู้ได้ทันทีว่า
หนังสือ
เล่มนี้เป็นคนละเล่มกับหนังสือ ไตรภูมิ หรือ ไตรภูมิโลกวินิจฉัย
ของพระยาธรรมปรีชา (แก้ว) ที่แต่งขึ้นในช่วงหลัง
ของรัชสมัยของรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะหนังสือเล่มหลังนี้
ในสมัยนั้นก็มักเรียกกันสั้นๆ ว่าหนังสือ ไตรภูมิ
เหมือนกัน
คำว่า ไตรภูมิกถา นี้ รูปคำเป็นสันสกฤตที่เขียนอย่างไทย
บางคนถนัดจะเรียกตามรูปบาลีว่า เตภูมิกถา ฉะนั้นหนังสือ
นี้จึงมีคนเรียกชื่ออยู่สามชื่อ คือเรียกว่า ไตรภูมิพระร่วง ชื่อหนึ่ง ไตรภูมิกถา
ชื่อหนึ่ง และ เตภูมิกถา อีกชื่อหนึ่ง แต่เมื่อตรวจดู
ในหนังสือแล้ว ไม่มีคำ เตภูมิกถา ใช้ในตอนหนึ่งตอนใดเลย แม้แต่ในคาถานมัสการภาษาบาลีก็มีเพียงว่า
"เตภูมิ สงเขปํ
ปวกขามิ กถํ อิธ" ( ข้าพเจ้าจักกล่าว - ซึ่งเรื่องราว
- อันเป็นบทสังเขปว่าด้วยภูมิทั้งสาม - ไว้ในที่นี้ )
ไม่มีข้อความบ่งชี้ว่า
ต้องการเรียกชื่อหนังสือว่า เตภูมิกถา เลย จึงน่าจะลงความเห็นว่า ไตรภูมิกถา
นี้เป็นชื่อหนังสือตามพระราชประสงค์ขององค์
ผู้ทรงนิพนธ์
ต่อมากรมศิลปากรได้ตรวจชำระหนังสือนี้ขึ้นใหม่จากต้นฉบับใบลานอักษรขอมสามฉบับ
เป็นต้นฉบับที่สมบูรณ์แต่ต้น
จนจบสองฉบับ คือฉบับที่กล่าวถึงแล้วข้างต้นฉบับหนึ่งและที่หอสมุดแห่งชาติได้มาในภายหลังอีกฉบับหนึ่ง
สองฉบับนี้แต่ละ
ฉบับมีสิบผูก ผูกหนึ่งมี 24 ใบลาน จารทั้งสองหน้า รวมมีเนื้อหาเกือบ 480
หน้าใบลานต่อฉบับ ส่วนต้นฉบับตัวเขียนฉบับที่
สามนั้นมีเพียงตอนต้นผูกเดียว ( 24 ลาน ) หนังสือที่ตรวจชำระใหม่นี้กรมศิลปากรได้ตีพิมพ์ขึ้นใน
พ.ศ.2517 และให้ชื่อว่า
ไตรภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วง ได้ตีพิมพ์ซ้ำมาแล้วอีกสองครั้ง ( ข้อมูลเมษายน
2539 ) มีคำอ่านที่แตกต่างจาก ไตรภูมิ
พระร่วง ที่ตีพิมพ์ใน พ.ศ.2445 หลายแห่ง
หนังสือนี้ยังไม่สมบูรณ์อยู่อย่างหนึ่งคือ
ผู้ตรวจชำระไม่ยกคำอ่านที่แตกต่างกัน (variant readings)มากำกับไว้ทุกแห่ง
เพราะมีอยู่หลายแห่งที่คำอ่านของฉบับตรวจชำระใหม่แตกต่างไปจากฉบับพิมพ์ พ.ศ.2445
โดยไม่มีเชิงอรรถกำกับ ทำให้
สงสัยว่าข้อความที่แตกต่างกันเป็น คำอ่านเสนอใหม่ (emendation) หรือเป็น
ข้อความต่อเติม
(interpolation) ซึ่งในวงการตรวจชำระหนังสือเก่าถือว่าเป็นข้อมูลสำคัญ
หนังสือไตรภูมิกถาเป็นหนังสือทางพุทธศาสนา
จึงมีศัพท์เฉพาะที่เป็นภาษาบาลีปนอยู่มาก แต่ก็ไม่ใช่หนังสือที่สอน
หลักธรรมพุทธศาสนาเบื้องต้นแก่คนทั่วไปโดยตรงผู้อ่านที่จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดีต้องมีพื้นฐานมาก่อน
เนื้อหาของหนังสือนี้
เป็นประเภทโลกศาสตร์หรือจักรวาลวิทยา ( cosmogony หรือ
cosmology ) คือสาขาความรู้ที่กล่าวถึงกำเนิด
โครงสร้างและความเป็นมาของโลกหรือจักรวาล และสิ่งที่มีชีวิตที่มีอยู่ในโลกหรือจักรวาล
หนังสือนี้แบ่งจักรวาลออกเป็น
สามแดนหรือสามภูมิ จึงมีชื่อว่า ไตรภูมิกถา คือเป็น เรื่องแห่งภูมิทั้งสาม
หรือ เรื่องของแดนทั้งสาม
พระพุทธเจ้าทรงเน้นเหตุผลในการประกาศพระศาสนา
ทรงเน้นอริยสัจเพื่อให้คนหลุดพ้นจากความทุกข์ เช่นใน
โปฏฐปาทสูตรและจุลลมาลุงกโยวาทสูตร พระองค์ตรัสว่าไม่มีพระประสงค์ที่จะกล่าวถึงปัญหาเรื่องอายุของโลกหรือปัญหา
ทำนองนี้ โดยทรงชี้แจงว่าคำตอบปัญหาเหล่านี้ไม่นำไปสู่การพ้นทุกข์ แต่ถ้าเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนโดยตรงแล้วพระองค์
จะทรงอธิบาย เช่นในอัคคัญญสูตร พระองค์ทรงกล่าวถึงความเป็นมาของโลกเมื่ออุบัติขึ้นในระยะแรก
ก็เพราะเป็นการ
นำทางไปสู่การหักล้าข้ออ้างที่ว่าพราหมณ์ประเสริฐกว่าคนในวรรณะอื่น หรือในสัตตสุริยสูตร
พระองค์ทรงกล่าวถึงภาวะ
ของโลกเมื่อเกิดมีดวงอาทิตย์ขึ้นถึงเจ็ดดวง ก็เพื่อเน้นความเป็นอนิจจังของทุกสิ่งทุกอย่าง
นอกจากนี้มหาปรินิพานสูตร
กล่าวถึงแผนดินไหวและโลกตั้งอยู่บนฐานอะไร หนังสืออรรถกถาในสมัยต่อมา
เช่นสุมังคลวิลาสินีและมโนรถปูรณีขยาย
ความเรื่องเหล่านี้บ้าง โดยกล่าวเป็นเรื่องๆ ไม่ติดต่อกัน
แต่เมื่อศาสนาสอนเรื่องสวรรค์และนรก
ก็เป็นธรรมดาของคนที่อยากจะรู้ว่าสวรรค์และนรกอยู่ที่ไหน
ใกล้หรือไกล
โลกนี้คืออะไร มีลักษณะสัณฐานอย่างไร ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และดวงดาวนั้นคืออะไร
อยากรู้ว่าเทพ เปรต อสุรกาย
มีรูปร่างลักษณะอย่างไรคัมภีร์พระไตรปิฎกก็กล่าวเป็นตอนๆ ไม่คลุมเรื่องราวที่อยากรู้ทั้งหมด
เพราะฉะนั้นหลังจากที่
พระพุทธเจ้าได้เสด็จเข้าสู่ปรินิพพานแล้ว ได้มีนักคิดบางคนรวบรวมเรื่องโลก
จักรวาลและสัตว์ในแดนต่างๆ ตามมติของ
พุทธศาสนา (และรวมมติที่เกิดขึ้นในภายหลังด้วย) และเรียบเรียงขึ้นเป็นหนังสือพุทธศาสนาอีกประเภทหนึ่ง
เข้าใจว่า
หนังสือทำนองนี้เล่มแรกคือ คัมภีร์โลกปรชญปติ lokaprajnapti ที่ อัศวโฆษ
(ประมาณ พ.ศ.700) เป็นผู้รจนาขึ้นเป็น
ภาษาสันสกฤต และรวมอยู่ในคัมภีร์พระอภิธรรมปิฎกของนิกายสรวาสติวาทิน ในปัจจุบันยังไม่มีใครค้นพบต้นฉบับภาษา
สันสกฤตของคัมภีร์นี้ ที่เรารู้เรื่องนี้ก็จากคำแปลเป็นภาษาทิเบตและภาษาจีนเท่านั้น
ในปัจจุบัน ประเทศที่นับถือพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทที่ใช้ไตรปิฎกภาษาบาลีนั้นมีเพียงไทย
ศรีลังกา พม่า เขมร ลาว
น่าสังเกตว่าแม้ว่าคัมภีร์พุทธศาสนาภาษาสันสกฤตที่ว่าด้วยโลกศาสตร์มีเพียงฉบับเดียวหรือสองฉบับ
แต่ที่เป็นภาษาบาลี
นั้นมีไม่น้อยกว่า 11 ฉบับ คือ 1. โลกบัญญัติ 2.
โลกทีปกสาร 3. จักกวาฬทีปนี 4. โอกาสโลกทีปนี
5. โลกทีปนี
6. โลกุปปัตติ 7. ฉคติทีปนี 8. อรุณวตีสุตต 9. โลกสัณฐานโชตรณคัณฐี 10. จันทสิรุยคติทีปนี
11. มหากัปปโลกสัณฐาน
ปัญญัตติ ซึ่งเป็นปกรณ์พิเศษทั้งสิ้น
ถึงปัจจุบัน (เมษายน 2539) กรมศิลปากรได้ตรวจชำระ
แปลเป็นไทย และพิมพ์คัมภีร์โลกศาสตร์บาลีนี้เผยแพร่แล้ว
สี่คัมภีร์ ได้แก่ โลกบัญญัติ โลกทีปกสาร จักกวาฬทีปนี และโลกุปปัตติ ส่วนที่เป็นวิทยานิพนธ์อยู่ที่ภาควิชาภาษาตะวันออก
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็มีจักกวาฬทีปนี โลกุปปัตติ อรุณวตีสูตร
และโลกัปปทีปกสาร
หนังสือโลกศาสตร์ภาษาไทยที่รู้จักกันดีนั้นมีอยู่สองฉบับ
ฉบับหนึ่งคือไตรภูมิกถาและอีกฉบับหนึ่งคือไตรภูมิโลก
วินิจฉัยของพระยาธรรมปรีชา (แก้ว) (แต่ง พ.ศ.2345)
พระมหาธรรมราชาลิไทยทรงสนพระทัยในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
ได้เสด็จออกทรงผนวชใน พ.ศ. 1905
แต่ได้ทรงพระราชนิพนธ์ไตรภูมิกถาก่อนหน้านั้นถึง 7 ปี พระองค์ทรงเล่าไว้ในบานแพนกว่าพระองค์เคยศึกษามาจาก
สำนักใด ทรงใช้คัมภีร์ต่างๆ ถึง 32 คัมภีร์ในการรวบรวมข้อมูล ทั้งพระไตรปิฎก
อรรถกถา และปกรณ์พิเศษ นับว่าเป็น
การอ้างอิงที่หายากในหนังสือรุ่นเก่าเช่นนี้ นอกจากนี้พระองค์ยังมีความรู้เชี่ยวชาญด้านโลกศาสตร์
ดาราศาสตร์ และการ
คำนวณปฏิทินอย่างแท้จริง จารึกหลักที่ 4 ศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง ภาษาเขมร
กล่าวสดุดีพระองค์ว่า
สมเด็จบพิตรทรงประกาศเพทศาสตราคม หลักความยุติธรรมทั้งหลายเป็นต้น
โชยติศาสตร์กล่าวคือดาราศาสตร์
เป็นต้น คือปี เดือน สุริยคราส จันทรคราส พระองค์อาจรู้ซึ่งเศษ ทรงพระปรีชาโอลาริก
หลังศักราช มีอธิกมาส พระองค์
ก็ทรงแก้ไขให้สะดวก ทรงตรวจสอบแล้ว อาจรู้ปีที่เป็นปรกติมาสและอธิกมาส วัน
วาร นักษัตร โดยสังเขปและโดยปฏิทิน
สำเร็จรูป สมเด็จบพิตรอาจลบ อาจเพิ่ม
ไตรภูมิกถามีอิทธิพลต่อความเชื่อและวรรณคดีไทยมาตั้งแต่โบราณ
ลิลิตโองการแช่งน้ำ ตอนที่กล่าวถึงไฟไหม้โลก
เมื่อสิ้นกัลป์ และการอุบัติขึ้นใหม่ของโลกนั้น เหมือนกับที่บรรยายไว้ในไตรภูมิกถาโดยตรง
เนื้อหาของไตรภูมิกถา
ไตรภูมิกถากล่าวถึงภูมิสามในจักรวาลคือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรูปภูมิ
1. กามภูมิ ได้แก่แดนของผู้ที่ยังข้องอยู่ในกามคุณ
มีความสุขและความทุกข์ มีความพอใจและความไม่พอใจในรูป
รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ผู้ที่ข้องอยู่ในกามคุณเหล่านี้มีโลภ โกรธ หลง
และยังแยกออกเป็นสองภูมิย่อย คือสุคติและทุคติ
(หรือสุคติภูมิ และทุคติภูมิ) สุคติ คือแดนไปที่ดีมีแต่ความสุข หรือถ้ามีทุกข์ก็น้อยกว่าความสุข
ส่วน ทุคติ หรือทุคติภูมิ
หรือ อบายภูมิ นั้นเป็นแดนแห่งความทุกข์ทรมาน
สุคติภูมิ มีอยู่หลายชั้น
แยกเป็นสองระดับ ระดับต่ำ ได้แก่ มนุสสภูมิ หรือแดนของมนุษย์ เป็นแผ่นดินหนาใหญ่
มีเขาพระสุเมรุเป็นแกนอยู่กลางแผ่นดิน มีทวีปสี่ทวีปตั้งอยู่สี่ทิศของเขาพระสุเมรุ
ทางทิศใต้เรียกว่าชมพูทวีป ทางทิศ
ตะวันออกคือบุพพวิเทหทวีป ทางทิศตะวันตกเรียกว่าอมรโคยานทวีป และที่อยู่ทางทิศเหนือเรียกว่าอุตตรกุรุทวีป
เราอยู่ในชมพูทวีป พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธ
พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ และพระเจ้าจักรพรรดิจะบังเกิดก็แต่
ในชมพูทวีปเท่านั้น จักรพรรดิราชมีรัตนะเจ็ดอย่างประดับเป็นบารมี คือ
จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว มณีแก้ว นางแก้ว
ขุนคลังแก้ว และขุนพลแก้ว ( แก้ว ในที่นี้หมายความว่า ประเสริฐ )
เหนือมนุสสภูมิขึ้นไปเป็นสวรรค์ สวรรค์ชั้นต่ำหกชั้นในกามภูมิเรียกว่า
สวรรค์หกชั้น หรือ ฉกามาพจร และ
เรียงลำดับจากต่ำขึ้นไปหาสูงดังนี้
จาตุหมาราชิกาเป็นชื่อสวรรค์ของจตุโลกบาล
ถัดขึ้นไปเป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (หรือตรัยตรึงศ์) ของพระอินทร
เทวราช พระเจดีย์จุฬามณีอยู่ในสวรรค์ชั้นนี้ สูงขึ้นไปเป็นสวรรค์ชั้นยามาของยามเทวราช
ต่อไปคือสวรรค์ชั้นดุสิต
มีสันดุสิตเทวราชเป็นใหญ่ พระโพธิสัตว์ทุกองค์จะมาเสวยพระชาติอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต
ก่อนที่จะมาจุติมาตรัสรู้และ
โปรดสัตว์ในมนุษยโลก ในขณะที่พระโพธิสัตว์ศรีอาริยเมตไตรยก็ยังคงอยู่ในสวรรค์ชั้นนี้และจะมาประสูติ
ตรัสรู้
และโปรดสัตว์ในมนุษยโลกต่อไป
ถัดขึ้นไปเป็นสวรรค์ชั้นนิมมานรดีของนิมมานรดีเทวราช แล้วก็ถึงสวรรค์ชั้น
ปรนิมมิตวสวัตดี ซึ่งแบ่งเป็นสองส่วน เป็นส่วนของเทพส่วนหนึ่งและเป็นของมารอีกส่วนหนึ่ง
ผู้ที่เกิดในสุคติกามภูมิที่กล่าวมาแล้ว
ไม่ว่าในมนุสสภูมิหรือในสวรรค์ชั้นกามาพจรยังไม่พ้นจากความโลภโกรธ
หลงและยังคงมีความยินดียินร้ายในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส
ทุคติภูมิ อยู่ต่ำกว่ามนุสสภูมิ แบ่งเป็นสี่ชั้น
ชั้นแรกที่อยู่ถัดลงไปคืออสุรกายภูมิและถัดลงไปคือเปตภูมิ เป็นแดน
ของอสูรและเปรตที่เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน แต่ก็มีอสูรและเปรตบางพวกที่ได้รับทั้งทุกข์และสุข
เพราะฉะนั้น
อสูรและเปรตพวกนี้จึงอาจเรียกว่าอยู่ในแดนแบ่งสุคติภูมิและทุคติภูมิ เช่นพญาอสูรที่ชื่อราหูนั้นอยู่ในแดนนี้
แต่ก็มี
อำนาจยิ่งกว่าเทพดาทั้งหลาย สามารถอมพระอาทิตย์และพระจันทร์ได้ และเปรตบางพวกก็มีเวลาเสวยสุขได้บ้าง
ทุคติภูมิที่ต่ำลงไปได้แก่ ติรัจฉานภูมิหรือแดนของสัตว์ดิรัจฉาน
สัตว์ดิรัจฉานที่อยู่ในมนุสสภูมิก็มีมาก แต่ที่อยู่
ในแดนเฉพาะที่คนไม่อาจพบเห็นได้ก็มี สัตว์เหล่านี้ที่นับเป็นประเภทดีนั้นมีหลายพวก
เช่น ราชสีห์ ช้าง ปลาใหญ่
(เจ็ดตัวในมหาสมุทร) ครุฑ และนาค แต่แม้ว่าสัตว์ดิรัจฉานประเภทดีเหล่านี้จะมีอำนาจ
เช่น ช้างฉัททันต์ หรือช้าง
อุโบสถที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ยังถือว่าอยู่ในทุคติภูมิ
ต่ำที่สุดในบรรดาทุคติภูมิได้แก่ นรกภูมิหรือนิรยภูมิ
เป็นแดนที่มีแต่ความทุกข์ทรมานแสนสาหัสสำหรับลงโทษ
ผู้กระทำบาป คนที่ตายไปทุกคนต้องไปปรากฏตัวต่อหน้าพระยายม ซึ่งเป็นเทพที่ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม
พระยม
จะตรวจสอบว่าผู้ตายได้ทำดีหรือชั่วอย่างไรบ้างเมื่อมีชีวิตอยู่ในมนุสสโลก
ความดีที่ทำมาจะมีบันทึกอยู่ในแผ่นทอง
เป็นหลักฐาน ส่วนบาปกรรมที่เคยทำจะมีบันทึกอยู่บนแผ่นหนังสุนัข ( เรียกว่าหนังสุวาน )
เมื่อพระยายมพิจารณา
แล้วก็ตัดสินให้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรก แล้วแต่แรงของบาปบุญของคนผู้นั้น
นรกขุมใหญ่ขุมหนึ่งจะมีนรกบ่าวโดยรอบ
16 ขุม แล้วมีนรกเล็กเป็นบริวารอีก 40 ขุม รวมเป็น 57 ขุม เมื่อนรก
ขุมใหญ่มี 8 ขุม ขุมนรกทั้งใหญ่ทั้งเล็กก็จะมีรวมทั้งหมดถึง 456 ขุม นรกทั้งหมดนี้อยู่ในแดนต่ำกว่าดิรัจฉานภูมิ
และขุมที่อยู่ในระดับที่ลึกที่สุดคือ อวิจี (ซึ่งเราเรียกกันทั่วไปว่า
อเวจี)
ยังมีนรกพิเศษนอกจักรวาลเรียกว่า โลกันตนรก
(ภาษาบาลีใช้ว่า "โลกันตรนรก" อ่านว่า โล-กัน-ตะ-ระ-นะ-รก)
ที่อยู่ในช่องว่างระหว่างจักรวาล (เทียบกับช่องว่างระหว่างบาตรสามใบที่คว่ำชิดกัน)
สัตว์ที่ตกไปอยู่ในนรกนี้ แสงแห่ง
พระอาทิตย์ก็ส่องไปไม่ถึง แทนที่จะถูกทรมานด้วยความร้อน หรือหอกดาบทิ่มแทง
กลับจะต้องพบแต่ความมืดและ
ความหนาวเย็นซึ่งเจ็บปวดทรมานยิ่งนัก
2. รูปภูมิ หรือ รูปาวจร หรือสวรรค์สิบหกชั้น
อยู่เหนือกามภูมิ เป็นแดนของพรหมผู้ไม่ข้องอยู่ในกามคุณ
ไม่ยินดียินร้ายในรูปรสกลิ่นเสียงหรือสัมผัส พรหมเหล่านี้ยังมีรูปร่างตัวตนอยู่
จึงเรียกว่า รูปพรหม เสวยปีติสุขระดับ
สูงต่ำแล้วแต่ระดับของฌาน ซึ่งมีอยู่ 4 ระดับ ฌานสามระดับแรก คือปฐมฌาน ทุติยฌาน
และตติยฌาน ยังแยกเป็น
ชั้นอีกระดับละสามชั้น ส่วนจตุตถฌานแยกเป็นเจ็ดชั้น รวมทั้งหมดเป็น 16 ชั้น
3. อรูปภูมิ หรือ อรูปาวจร
เป็นแดนของพรหมผู้ดำรงอยู่ในสภาพของจิต ไม่มีร่างหรือตัวตน จึงเรียกว่า
อรูปพรหม เสวสยปีติสุขอยู่ด้วยฌานในระดับสูงกว่าในระดับของรูปภูมิมีอยู่สี่ชั้นด้วยกันตามระดับของฌานที่บรรลุ
ผู้อยู่ในสวรรค์ชั้นนี้จะไม่กลับมาเกิดในมนุษยโลกแต่จะบรรลุนิพพานไปในที่สุด
เมื่อรวมแล้ว ไตรภูมินั้นมีอยู่ทั้งหมด
31 ชั้น คือ กามภูมิ 11 ชั้น รูปภูมิ 16 ชั้น และอรูปภูมิอีก
4 ชั้น การถือ
กำเนิดเป็นตัวตนในแดนเหล่านี้จำแนกออกเป็นสี่อย่าง คือ อัณฑชโยนิ (เกิดแต่ไข่เช่นนกและปลา)
ชลามพุชโยนิ (ภาษา
บาลีใช้ว่า ชลาพุชโยนิ) (เกิดโดยมีรกหุ้มห่อ เช่น คนและสัตว์) สังเสทชโยนิ
(เกิดจากเหงื่อไคล เช่น หนอน แมลง บุ้ง
ริ้น) และอุปปาติกโยนิ (เติบโตเป็นตัวตนขนาดเจริญวัยทันที เช่น อสูร เปรต
สัตว์นรกและเทวดา)
ไตรภูมิกถายังกล่าวถึงโครงสร้างของจักรวาล
กล่าวถึงความสูง ขนาดกว้างใหญ่ของเขาพระสุเมรุและเขา
สัตตบริภัณฑ์ (ได้แก่ เขายุคนธร อิสินธร กรวิก สุทัศนะ เนมินธร วินันตกะ
และอัสสกัณ) ภูเขาเหล่านี้ล้อมเป็นวงรอบเขา
พระสุเมรุอยู่เจ็ดชั้นโดยมีแม่น้ำสีทันดรคั่นกลางระหว่างชั้น ถัดจากสัตตบริภัณฑคีรีแล้วมีกำแพงจักรวาลล้อมรอบอีก
ชั้นหนึ่งนอกจากนี้ยังกล่าวถึงการโคจรของพระอาทิตย์ พระจันทร์ ดาวพระเคราะห์
และกลุ่มดาวนักษัตรต่างๆ ในเขต
กำแพงจักรวาล เวลาในแต่ละทวีปแตกต่างกัน แล้วแต่ทิศทางโคจรและตำแหน่งของพระอาทิตย์รอบเขาพระสุเมรุ
ในชมพูทวีปมีป่าหิมพานต์ ในป่านี้มีต้นหว้าใหญ่
(ชมพูแปลว่าต้นหว้า) อยู่ริมแม่น้ำยางลูกหว้านั้นเมื่อตกลงมาแล้ว
กลายเป็นทองชมพูนุท นอกจากนี้แล้วยังมีต้นนารีผลซึ่งออกดอกผลเป็นหญิงสาวสวยซึ่งจะเน่าเปื่อยไปในเจ็ดวัน
ในป่า
มีสระใหญ่เจ็ดสระชื่อ อโนดาต กัณณมุณฑะ รถการ ฉัททันต์ กุณาละ มันทากิณี
และสีหปปาตะ ที่ฝั่งของสระฉัททันต์
มีโขลงช้างสกุลฉัททันต์อาศัยอยู่
ตอนท้ายของไตรภูมิกถากล่าวถึงการสลายตัวและการเกิดใหม่ของจักรวาลเมื่อสิ้นกัลป์
พระอาทิตย์จะเพิ่มเป็น
สอง-สาม-และต่อไปจนถึงเจ็ดดวง ทุกอย่างในโลก ในป่าหิมพานต์ และสวรรค์ฉกามาพจรจะถูกไฟเผาไหม้ทำลาย
ไปทีละชั้น จนถึงสวรรค์ของรูปพรหมชั้นปฐมฌาน ต่อจากนั้นน้ำจะท่วมและชะล้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นไปถึงสวรรค์
ของรูปพรหมชั้นทุติยฌาน ต่อจากนั้นลมจะพัดและทำลายทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นไปถึงสวรรค์ของรูปพรหมชั้นตติยฌาน
คือถูกทำลายทั้งด้วยไฟ ด้วยน้ำ และด้วยลม
ต่อจากนั้นจะมีฝนตก น้ำจะนองไปถึงชั้นพรหมที่ถูกทำลายเหล่านี้ใหม่
ขณะที่น้ำยังนองอยู่ มหาพรหมาธิราช
จะมาตรวจดูสภาพของน้ำที่ท่วมอยู่และตรวจดูจำนวนของดอกบัวที่ผิวน้ำ หากเห็นดอกบัวดอกหนึ่ง
กัลป์ต่อไปก็จะ
ชื่อว่า สารกัลป์ และจะมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาโปรด หากเห็นสองดอก กัลป์ต่อไปจะชื่อมัณฑกัลป์และจะมีพระ
พุทธเจ้ามาโปรดสององค์ หากมีบัวสามดอก กัลป์ต่อไปจะชื่อวรกัลป์และจะมีพระพุทธเจ้าสามองค์มาโปรด
หากมี
สี่ดอกจะเป็นสารมัณฑกัลป์ และจะมีพระพุทธเจ้าสี่พระองค์ หากมีบัวห้าดอกก็จะเป็นภัทรกัลป์และมีพระพุทธเจ้า
ถึงห้าองค์ หากไม่มีดอกบัวเลย กัลป์นั้นจะมีชื่อว่าสุญญกัลป์ และจะไม่มีพระพุทธเจ้ามาโปรดแม้แต่องค์เดียว
หลังจากนั้น ลมจะพัดให้น้ำนั้นข้น
จับตัวเป็นก้อนและลดระดับลง สวรรค์ในชั้นรูปภูมิและกามภูมิจะเกิดขึ้นใหม่
มีสภาพเหมือนเดิม ในส่วนที่เป็นชมพูทวีปนั้นเมื่อน้ำแห้งจะเกิดง้วนดินที่มีกลิ่นหอมและรสหวาน
รูปพรหม
ในอาภัสสราภูมิบางองค์ซึ่งโดยปรกติจะไม่มีความยินดีในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
จะลงมาเยี่ยมพื้นโลกนี้ แต่เมื่อได้กิน
ง้วนดินก็เกิดตัณหา เสื่อมจากสภาพพรหมและกลายเป็นมนุษย์ชายและหญิง โลกเกิดมีความมืดความสว่าง
มีกลางคืน
กลางวัน มีพระอาทิตย์พระจันทร์และดวงดาวเหมือนก่อนที่โลกสลายตัวเกิดมีฤดูกาลปีละสามฤดู
(วสันต์ เหมันต์ และ
คิมหันต์) หรือหกฤดู (วสันต์ คิมหันต์ วัสสิกะ สรัท เหมันต์
และสิสิระ) ง้วนดินที่เคยเป็นอาหารก็เปลี่ยนแปลงไป
ทีละน้อย จนในที่สุดก็กลายสภาพมาเป็นเช่นในปัจจุบัน
ในบรรดาหมู่ชน ความดีงามซึ่งเคยมีได้เสื่อมลงทำให้เกิดการข่มเหงและแก่งแย่งชิงดี
จึงได้มีการพร้อมใจกัน
มอบอำนาจให้กษัตริย์เป็นใหญ่เพื่อรักษาระเบียบและความสงบต่อมาจึงเกิดวรรณะพราหมณ์
แพศย์ และศูทรตามลำดับ
วิธีการอธิบายในไตรภูมิกถานั้น มีการยกเรื่องราวทำนองนิยายประกอบเป็นตอนๆ
โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึง
มนุสสภูมิ ในตอนสุดท้ายของหนังสือกล่าวถึงนิพพานและวิธีปฏิบัติตนเพื่อบรรลุนิพพานด้วยการกำจัดกิเลสตาม
ขั้นตอน และวิธีการภาวนาโลกุตตรฌานในระดับต่างๆ
แผนภูมิภาพ
<
back >
|