เว็บไซต์การจัดการความรู้ของ มสธ. ยินดีต้อนรับ | Log in | สมัครสมาชิก

 

แนวปฏิบัติที่ดีความรู้เรื่องหลักเกณฑ์การเลือกกลยุทธ์

 

หลักเกณฑ์การเลือกกลยุทธ์

1. หลักเกณฑ์ประกอบการพิจารณากำหนดกลยุทธ์ เช่น

- โอกาสที่จะบรรลุเป้าหมาย

- ระดับของกลยุทธุ์ต้องเข้ากับหลักเกณฑ์มาตรฐาน

- จะช่วยขจัดหรือลดอุปสรรคและข้อขัดขัองที่อาจจะเกิดขึ้นจากการนำไปใช

2. ข้อพึงระวังในการกำหนดรูปแบบกลยุทธ์ เช่น

- เข้าใจง่ายและมีคำอธิบายเพื่อความเข้าใจที่ชัดแจ้ง ถ้าเป็นการเสนอเพื่อการพิจารณา

- การอธิบายให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจ ควรต้องอธิบายรายละเอียดเป็นขั้นตอนและมีระบบ

3. ความสําเร็จและความล้มเหลวของการเลือกกลยุทธ์ ผลลัพธ์ดังกล่าวอาจจะเกิดจากความบกพร่อง ดังนี

3.1 เกิดจากการละเลยการวิเคราะห์ที่ดีพอ

3.2เกิดจากการวิเคราะห์ที่เข้าข้างตนเอง 

3.3 เกิดจากการวิเคราะห์ที่ไร้ประโยชน์

การจัดทำทางเลือกของกลยุทธ

การจัดทำ TOWS matrix/SWOT matrix  เพื่อจัดทำทางเลือกของกลยุทธ์ ประกอบด้วยปัจจัยภายในคือ   จุดอ่อน (W = Weakness)   จุดแข็ง (S= Strengths) และปัจจัยภายนอก ประกอบด้วย ภาวะคุกคาม/ข้อจำกัด  (T= Threats)   และโอกาส (O= Opportunities) จะทำให้ได้ทางเลือกกลยุทธ์ 4 แบบ คือ

§  กลยุทธ์ SO : จุดแข็งภายในดี และยังมีโอกาสจากภายนอกที่ดีด้วย เป็นกลยุทธ์ที่ควรจะเลือกมากที่สุด

§  กลยุทธ์ ST : เป็นกลยุทธ์ที่องค์กรเลือกใช้จุดเด่นของตนเอง ภายใต้ข้อจำกัดของสถานการณ์ภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้

§  กลยุทธ์ WO : เป็นการกาหนดกลยุทธ์ ของกิจการที่พอจะมีโอกาสอยู่บ้าง แต่ต้องตัดจุดอ่อนที่อาจจะกระทบต่อการดำเนินงานขององค์กร

§  กลยุทธ์ WT : เป็นทางเลือกของกลยุทธ์ที่อาจเรียกว่าตั้งรับ โดยพยายามลดจุดอ่อน และหลีกเลี่ยงข้อจำกัดต่างๆ ซึ่งในบางสถานการณ์ไม่สามารถเลือกกลยุทธ์ด้านอื่นได้

การกำหนดกลยุทธ์ด้วยวิธีการอื่นๆ

1. การกาหนดกลยุทธ์ตามตัวแบบของ  Boston Consulting Group (BCG)  ได้เสนอแนวคิดการวิเคราะห์การวางทิศทางกลยุทธ์ว่าจะรุกหรือจะรับในทางธุรกิจ โดยนำปัจจัยทางความเจริญเติบโตของตลาด มาเปรียบเทียบกับส่วนแบ่งทางการตลาดที่เป็นจริง (โดยทั้งสองปัจจัยแบ่งระดะบออกเป็นสูงและต่ำ) ในรูปของ Matrix จะทำให้ได้กลยุทธ์ 4 แบบ คือ แบบดาวรุ่ง (stars)  แบบวัวเงิน (Cash Cow)  แบบเด็กมีปัญหา (Problem Child) หรือนางแมวป่า (Wild Cats) และ แบบสุนัขเฝ้าบ้าน (Dogs)

2. การกำหนดกลยุทธ์การแข่งขันกับเวลาเพื่อความสาเร็จขององคกร์ (Time Based Strategy :TBS ) เป้าหมายหลักของ  TBS เสนอประเด็นที่สาคัญไว้ 6 ประการ  คือ

- ตอบสนองลูกค้าให้ตรงตามความต้องการในเวลาที่ลูกค้าคาดหวัง

- การนำข้อมูลมาใช้ทันกับเวลาที่ต้องการประกอบการทางาน

- ทุกฝ่ายงานต้องพยายามสร้างสรรค์บริการงานใหม่หรือผลิตภัณฑ์ใหม่

- จะต้องสร้างความแตกต่างและหลากหลายทางดานบริการหรือผลิตภัณฑ

- จะมีการนำเทคโนโลยีหรือวิธีการทำงานใหม่มาใช้

- จะต้องให้ลูกค้าหรือผู้ใช้บริการติดใจในบริการที่จะตรงและทันความต้องการ

3. กำหนดกลยุทธ์ในการแข่งขันตามแนวคิดของ Porter (Porter’s Generic Competitive Strategies)

ได้สร้างกลยุทธ์ใน 3 แบบคือ

3.1 กลยุทธ์ความเป็นผู้นำด้านต้นทุน (Cost Leadership)

3.2 กลยุทธ์ ที่เน้นความแตกต่าง (Differentiation) และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์

การนำกลยุทธ์ไปสู่ปฏิบัติ (Strategic Implementation)

1.         การกำหนดเป้าหมายการดำเนินงาน

2.          การวางแผนปฏิบัติการ (Action Plan) ที่ระบุกิจกรรมต่างๆ ที่จะต้องดำเนินการ

3.          การปรับปรุง  พัฒนาองค์การ เช่น ในด้านโครงสร้าง  ระบบงาน  ทรัพยากรบุคคล วัฒนธรรมองค์การและ ปัจจัยการบริการต่างๆ ในองค์การ

ที่มา : http://phadmin2552.freetzi.com/file/53705/summary/11.pdf

ที่มาของการจัดการความรู้

พระราชกฤษฎีกาว่าด้วย หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2549

มาตรา 11 ส่วนราชการมีหน้าที่พัฒนาความรู้ในส่วนราชการ เพื่อให้มีลักษณะเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้อย่างสม่ำเสมอ โดยต้องรับรู้ ข้อมูลข่าวสาร และสามารถประมวลผลความรู้ในด้านต่างๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติราชการได้อย่างถูกต้อง รวดเร็วและเหมาะสมต่อสถานที่ รวมทั้งต้องส่งเสริมและพัฒนาความรู้ ความสามารถ สร้างวิสัยทัศน์และปรับเปลี่ยนทัศนคติของ
ข้าราชการในสังกัด ให้เป็นบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ และมีการเรียนรู้ร่วมกัน

 

กรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการ

หน่วยงานต้องได้รับการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อรับสิ่งจูงใจตามคำรับรองการปฏิบัติราชการ
น้ำหนัก : ร้อยละ
มิติ
ประเด็นการประเมิน
50
1. ด้านประสิทธิผลตามยุทธศาสตร์ - ผลสำเร็จตามแผนยุทธศาสตร์
10
2. ด้านคุณภาพการให้บริการ

- คุณภาพการให้บริการ
- การป้องกันและปราบปรามทุจริต
และประพฤติมิชอบ

10
3. ด้านประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ

- การลดค่าใช้จ่าย
- การลดระยะเวลาการให้บริการ

30
4. ด้านการพัฒนาองค์กร

- การบริหารความรู้ในองค์กร
- การจัดการสารสนเทศ
- การบริหารการเปลี่ยนแปลง

 

ความหมาย ของคำว่า "ความรู้ "

ความรู้ คือ สิ่งที่สะสมมาจากการศึกษาเล่าเรียนการค้นคว้าหรือประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติ
และทักษะ ความเข้าใจหรือสารสนเทศที่ได้รับมาจากประสบการณ์ สิ่งที่ได้รับมาจากการได้ยิน ได้ฟัง การคิด หรือการปฏิบัติ
องค์วิชาในแต่ละสาขา
 

ความรู้ … ในรูปปิรามิด…

….มุมมอง…ของ Dave Snowden
 

ระดับความรู้

  1. ความรู้เฉพาะคน Individual Knowledge
  2. ความรู้องค์กร Organizational Knowledge
  3. ความรู้ที่เป็นระบบ Structural Knowledge
 

ประเภทของความรู้

            Tacit Knowledge   ความรู้ในตัวคน  เกิดจากประสบการณ์ การเรียนรู้ พรสวรรค์ต่างๆ ซึ่งสื่อสารหรือถ่ายทอดในรูป
ตัวเลข  สูตร  หรือลายลักษณ์อักษรได้ยาก  ความรู้นี้พัฒนาแบ่งปันกันได้  เป็นความรู้ที่ก่อให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน

                 Explicit Knowledge     ความรู้เป็นเหตุเป็นผล สามารถรวบรวม และถ่ายทอดในรูปแบบต่างๆ ได้  เช่น  หนังสือ  คู่มือ   เอกสาร
รายงานต่างๆ ทำให้คนสามารถเข้าถึงได้ง่าย           
                 ความรู้ประเภท Tacit และประเภท Explicit  มีอัตราส่วนเป็น 80 : 20  สามารถเปลี่ยนสถานะได้ตลอดเวลา
 

กระบวนการทำให้เกิดความรู้ใหม่ Knowledge Spiral หรือ SECI Model

เป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนและสร้างความรู้ มี 4 รูปแบบ
รูปแบบที่ 1  Socialization
                     การแบ่งปันและสร้าง Tacit Knowledge
                     TK    TK    ถ่ายทอดจากคนสู่คน
รูปแบบที่ 2  Externalization
                     นำความรู้ที่มีมาเผยแพร่เป็นลายลักษณ์อักษร
                     TK    EK     
รูปแบบที่ 3  Combination
                      รวบรวม Explicit มาสร้างเป็น Explicit ใหม่
                      EK   EK                      
รูปแบบที่ 4  Internalization
                     นำความรู้จาก Explicit มาปฏิบัติ
                      EK     TK
คิดค้นโดย Ikujiro Nonaka และ Takeuchi
 
นิยามของการจัดการความรู้ : ข้อเสนอแนะสำหรับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

การจัดการความรู้ (KM)

คือ การจัดการในเรื่องที่สำคัญ จำเป็นต่อการดำเนินงานขององค์กรโดยใช้มิติกระบวนการความรู้ เพื่อให้เกิด
ความรู้ใหม่แล้วนำมาใช้ในการปฏิบัติงานจนเกิดประสิทธิภาพ บรรลุเป้าหมายทำให้องค์กรสามารถอยู่รอดและแข่งขันได้
ในสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไป

 

แนวทางการจัดการความรู้ของมสธ.

มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช อาจจัดการความรู้ได้ 2 แนวทาง
  1. หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวกับงานด้านวิชาการ อาจจะ…จัดการความรู้ในลักษณะ คลังความรู้ โดยการสร้าง จัดหา และนำความรู้ขององค์กรมาจัดเก็บให้เป็นระบบสะดวกแก่การสืบค้น และนำไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน เพื่อยกระดับ ปรับปรุง และพัฒนาการดำเนินงานของ
    องค์กรให้สามารถอยู่รอดและแข่งขันได้
  2. หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวกับงานด้านปฏิบัติการ หน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการให้บริการงานต่างๆ
    อาจจะ…จัดการความรู้ที่จำเป็นแก่หน่วยงาน โดยวิเคราะห์กระบวนการทำงานตามภารกิจแล้วร่วมมือกันดำเนินการ
    จัดการความรู้ เพื่อให้ได้มาซึ่งวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ หรือได้ฐานข้อมูลที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงาน นำไปสู่การปรับใช้ในองค์กร
    เพื่อช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
 

การพัฒนาความรู้

1. ขั้นแลกเปลี่ยนความรู้ Knowledge Sharing Stage data
    ความรู้มีอยู่ในแต่ละบุคคล    นำมาแลกเปลี่ยนกัน

2. ขั้นการจัดการความรู้ Knowledge Management system Stage
    องค์เห็นว่าควรมีการพัฒนาความรู้   เพื่อให้เข้าถึงได้ง่าย
    นำความรู้นั้นมาใช้ในการปฏิบัติเป็น information ประจำ
     กลืนเป็นเนื้อเดียวกับงาน

3. ขั้นการสร้างองค์ความรู้ Knowledge Creation Stage
    องค์ใช้ประโยชน์ต่อยอดองค์ความรู้ที่มีอยู่ สร้างสรรค์ให้เกิดคุณค่าต่อองค์กร
(Value) เพื่อรักษาความ สามารถหลักให้ยั่งยืน

 

องค์ประกอบสำคัญในการสร้างระบบ KM

คน แหล่งความรู้ และเป็นผู้นำความรู้ไปใช้
เทคโนโลยี มีเครื่องมือ ช่วยเก็บ ช่วยในการค้นหา แลกเปลี่ยน นำความรู้ไปใช้ได้โดยง่าย
กระบวนการความรู้ เป็นการนำความรู้จากแหล่งความรู้ต่างๆ จากผู้ใช้ เพื่อปรับปรุง เชื่อมโยง ต่อยอดเปลี่ยนแปลง หรือเกิดความรู้ใหม่
 

ความสำเร็จในการทำ KM

Small Start, Success then Expansion

เริ่มจากเล็กๆ เมื่อประสบความสำเร็จแล้วขยายผล * ที่สุดของที่สุด *
ทำงานเป็นทีม (Teamwork) ทีม หมายถึง ทุกคนในที่ทำงานมิได้หมายถึง คณะกรรมการ * ถ้าเข้าใจตรงกัน รับรองผลได้แน่นอน *

……….. Knowledge is Power ………….

 

KM ทำให้เกิด ?

 

แนวทางการกำหนด ขอบเขต และ เป้าหมาย KM

 

ข้อเสนอแนะขั้นตอนของการจัดการความรู้ ( KM )

  1. ระดมสมอง ระบุอุปสรรคการทำงาน/ความผิดพลาดในงาน/ความไม่คล่องตัวของกระบวนการทำงานแล้วทำการวิเคราะห์
    สาเหตุร่วมกัน
    * ต้องเป็นเรื่องที่เราสามารถแก้ปัญหาได้ มองเห็นความสำเร็จ ถ้าได้ทำร่วมกัน ทำแล้วส่งผลต่อการพัฒนางานในหน่วยงาน*
  2. กำหนดเป็นขอบเขต KM ที่จะทำ ( กระบวนการทำงานใดที่ควรทำ KM )
  3. กำหนดเป้าหมายในการทำ KM ( โดยเริ่มจากจุดเล็กๆ )
  4. จัดทำแผน ( กำหนดว่าใคร ต้องทำอะไร เสร็จเมื่อไร ผลที่ได้คืออะไร )
  5. ดำเนินการตามแผน
  6. ทดลองใช้ แก้ไขปรับปรุง
  7. ตกลงร่วมกันนำสิ่งที่คิดค้นมาใช้ในงานตามปกติ
  8. ประเมินผล
  9. ปรับปรุง
  10. อาจจัดทำเป็นคู่มือ หรือ ฐานความรู้
 

องค์กรแห่งการเรียนรู้ ( Learning Organization)

เป็นรูปแบบการบริหารในการพัฒนาองค์กร ให้มีความคิดริเริ่ม (Creative Organization) ความเป็นผู้นำ (Leadership)
ความคิดเข้าใจเชิงระบบ (Systems Thinking) การเรียนรู้เป็นทีม (Team Learning) ในการขับเคลื่อนภารกิจให้สำเร็จตามเป้าหมาย
การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ องค์กรจะต้องมีการปรับเปลี่ยนและค้นหาวิธีการใหม่ๆ ในการดำเนินกิจการ เพื่อเพิ่ม
ประสิทธิผลในการดำเนินงานขององค์กร การที่องค์กรจะสามารถเรียนรู้เพื่อพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิผลนั้น ต้องมีการจัดการความรู้
ควบคู่ไปด้วยเสมอ
การจัดการความรู้ที่หน่วยงานต่างๆ ในมหาวิทยาลัย เริ่มทำกันในปี 2549 นี้ ไม่มีผิดมีถูกเพียงแต่ในระยะเริ่มต้นองค์กร
ุมุ่งหวังผลทางตรง ตรงกับภารกิจตรงตามเป้าหมายขององค์กร เมื่อได้มีการจัดการความรู้ไปได้ระยะหนึ่ง สิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นก็คือ
หน่วยงานมีทักษะในการจัดการความรู้เพื่อให้การทำงานมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทุกอย่างถูกกลืนไปในเนื้องานตามปกติ
ไม่เป็นการเพิ่มภาระการทำงาน แต่จะเป็นส่วนหนึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งในการทำงาน เมื่อถึงตอนนั้นคงไม่ต้องมาพูดเน้นถึง KM อีกแล้ว
KM เป็นเครื่องมือหนึ่งเท่านั้นที่สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาการทำงานในองค์กร เพื่อก้าวไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
 
แบบฟอร์มที่ 1 กระบวนงาน
แบบฟอร์มที่ 2 การกำหนดขอบเขต
แบบฟอร์มที่ 3 แผนการทำ KM
 

แนวทางการจัดการความรู้ของหน่วยงาน

  1. หน่วยงานกำหนดสิ่งสำคัญ ที่หน่วยงานต้องทำให้สำเร็จตามวิสัยทัศน์ของหน่วยงาน แล้วจัดลำดับ
  2. สำรวจและวิเคราะห์ความชำนาญของบุคลากรในหน่วยงานเพื่อสร้างความรู้ โดยมุ่งเน้นความรู้ที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงาน
    ของหน่วยงานตามวิสัยทัศน์
  3. การนำความรู้มาถ่ายทอดเพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน จนเกิดเป็นทักษะ ความชำนาญของตนเองส่งผลให้งานมีประสิทธิภาพและ
    ประสิทธิผล
  4. การวัดประเมินผล เป็นการวัดความคืบหน้าการดำเนินงานเป็นไปตามที่คาดไว้หรือไม่ ส่งผลกระทบต่อวิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัย
    อย่างไรบ้าง
 

ขบวนการจัดการความรู้ของหน่วยงาน

  1. ค้นหาความรู้ ความรู้มีอยู่ที่ใครบ้าง ความรู้อะไรที่มีความจำเป็นต้องใช้
  2. รวบรวมและจัดทำเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้ใช้ ถ้าไม่มีต้องสร้าง และควรกำจัดความรู้ที่ล้าสมัย ไม่จำเป็น เพื่อลดความสิ้นเปลือง
    ในการจัดเก็บ
  3. วางระบบการจัดเก็บ ให้สามารถค้นคว้าได้ง่าย รวดเร็ว เหมาะสมกับกลุ่มผู้ใช้งาน
  4. จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เช่น จัดตั้งชุมนุมนักปฏิบัติ จัดเวทีแลกเปลี่ยน
  5. หน่วยงานดำเนินการกระตุ้น การเรียนรู้ของบุคลากรในการนำความรู้ไปใช้ในการทำงานเพื่อปรับปรุงหน่วยงาน โดยจากการ
    แสดงผลงานที่ได้นำความรู้ไปใช้
  6. การวัดประเมินผล

 

แนวทางการดำเนินงานของคณะกรรมการจัดการความรู้ระดับมหาวิทยาลัย

  1. จัดกิจกรรมเผยแพร่ความรู้ ให้บุคลากรของมหาวิทยาลัย จำนวน 1 ครั้ง
  2. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ หน่วยงานนำร่อง จำนวน 11 หน่วยงาน
  3. เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการจัดการความรู้ ใน Web KM
  4. รณรงค์ให้บุคลากรสมัครเป็นสมาชิกเครือข่ายการจัดการความรู้ผ่าน Web KM
  5. จัดทำช่องทางแสดงความคิดเห็นผ่าน Web KM
  6. จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้บุคลากรภายใน
  7. จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับหน่วยงานภายนอกเกี่ยวกับการจัดการความรู้
  8. จัดประกวด Logo และคำขวัญการจัดการความรู้ของมหาวิทยาลัย
  9. จัดทำตัวชี้วัด ความคืบหน้าในการดำเนินงาน (ความสำเร็จโครงการโดยรวม)
  10. จัดวางระบบการยกย่อง ชมเชย
  11. จัดวางระบบติดตามประเมินผล การจัดการความรู้ของมหาวิทยาลัย
  12. ดำเนินการวางรูปแบบการจัดทำแผนการจัดการความรู้ ปี 2550
  13. จัดประชุมคณะกรรมการนโยบาย การจัดการความรู้ ระดับมหาวิทยาลัย
  14. จัดประชุมคณะกรรมการ จัดการความรู้ ระดับมหาวิทยาลัย
  15. ดำเนินการทบทวนยุทธศาสตร์ การจัดการความรู้