มุมสบายๆ โดย รศ.ดร.พรทิพย์ เกยุรานนท์
 

แหล่งที่มาของปัญหาการวิจัย

โดย  ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วรางคณา  ผลประเสริฐ

        การทำงานต่าง ๆ นั้น อาจจะต้องการข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจและการวางแผนงานต่างๆ ดังนั้น แหล่งที่มาของปัญหาการวิจัยอาจหาได้จากแหล่งต่างๆ ดังต่อไปนี้

        1.   ตัวผู้วิจัยเองหรือหน่วยงานของผู้วิจัย บางครั้งหัวข้อของการวิจัยอาจจะได้มาจากการที่หน่วยงานของผู้วิจัย หรือตัวผู้วิจัยเองกำลังประสบปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการทำงาน และต้องการที่จะทำการศึกษาค้นคว้าวิจัยหาคำตอบออกมาให้ได้ เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการวางแผนแก้ปัญหานั้น  เช่น  โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพระดับตำบลมีหน้าที่หลักในการให้บริการระดับปฐมภูมิแก่ประชาชนในเขตความรับผิดชอบ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีข้อมูลด้านภาวะสุขภาพของคนในชุมชน ข้อมูลพฤติกรรมสุขภาพ วัฒนธรรมสุขภาพ และข้อมูลอื่นๆ ที่มีผลต่อสุขภาพของคนในชุมชน เพื่อนำข้อมูลมาเป็นแนวทางในการพัฒนาการปฏิบัติงาน/ การให้บริการและดูแลสุขภาพของคนในชุมชน เป็นต้น

        2.  จากเอกสารงานวิจัยหรือการค้นคว้าจากหนังสือ การอ่านหรือค้นคว้าเอกสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือหรือวารสารเกี่ยวกับแนวคิดทฤษฎี ตลอดจนผลการวิจัยที่เกี่ยวข้อง จะช่วยให้ผู้วิจัยเกิดแนวความคิดในการทำวิจัยในประเด็นใหม่ๆ ขึ้นมา เช่น อาจเกิดความสงสัยหรือมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับข้อค้นพบเดิมหรือแนวความคิดทฤษฎีที่มีอยู่เดิม ทำให้ผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษาหาข้อเท็จจริงหรือต้องการตรวจสอบทฤษฎีหรือแนวความคิดเดิมในอดีต ว่ายังคงใช้กับสถานการณ์ในปัจจุบันได้หรือไม่ นอกจากนี้ การอ่านทบทวนผลงานวิจัยในอดีตจะทำให้ผู้วิจัยมองเห็นจุดอ่อนหรือประเด็นที่ควรศึกษาเพิ่มเติมต่อไป และการอ่านเอกสารหรือนโยบายและแผนพัฒนาต่างๆ เช่น แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ แผนปฏิบัติการชุมชนและมวลชนสัมพันธ์ แผนปฏิบัติการประจำปี  ฯลฯ  ก็มีส่วนช่วยให้ผู้วิจัยมองเห็นประเด็นที่เป็นปัญหาที่จะนำมาทำการวิจัยได้เช่นกัน

        3. การเข้าร่วมสัมมนาประชุมในเรื่องต่างๆ  อาจมีปัญหาหรือข้อสงสัยต่างๆ ที่ต้องการคำตอบโดยการทำวิจัย ซึ่งยังหาคำตอบไม่ได้ หรือมีประเด็นต่างๆ ที่กำลังเป็นปัญหาและต้องการหาคำตอบ เช่น การเปลี่ยนโครงสร้างของหน่วยงานด้านสุขภาพ การบริหารงบประมาณในการดูแลสุขภาพของประชาชน ฯลฯ 

        4. ผู้นำหรือนักวิชาการ  การปรึกษาหารือหรือพูดคุยกับผู้นำหรือนักวิชาการต่างๆ เช่น อาจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ นักวิจัย หรือนักวางแผน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทำให้ผู้วิจัยเกิดมุมมองบางประการเกี่ยวกับประเด็นที่ควรทำวิจัย ทั้งนี้เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ มักจะเป็นผู้ที่คลุกคลีอยู่กับความรู้ ประสบการณ์และปัญหาต่างๆ นั้นมาเป็นเวลาช้านาน พอที่จะทราบรายละเอียดหรือประเด็นปัญหาที่สมควรแก่การศึกษาค้นคว้าด้วยการทำวิจัย

        5. แหล่งอุดหนุนทุนการวิจัย  โดยปกติแหล่งสนับสนุนทุนการวิจัย มักจะกำหนดหัวข้อการวิจัยมาให้ ซึ่งการกำหนดหัวข้อนั้นอาจเป็นการกำหนดหัวข้ออย่างกว้างๆ  หรือเฉพาะเจาะจงลงไป ทำให้ผู้วิจัยมีแนวคิดในการกำหนดหัวข้อที่จะทำการวิจัย  เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) จะให้ทุนการวิจัยในส่วนที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศหรือยุทธศาสตร์ของจังหวัด  สำนักงานกองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จะให้ทุนการวิจัยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ  เป็นต้น

 

หลักเกณฑ์ในการเลือกหัวข้อปัญหา

นอกจากจะทราบแหล่งที่จะทำให้ได้ปัญหาในการทำวิจัยแล้ว ผู้วิจัยควรทราบหลักเกณฑ์ในการเลือกหัวข้อปัญหาการวิจัย เพื่อให้สามารถเลือกปัญหาที่จะทำวิจัยได้เหมาะสม ซึ่งผู้วิจัยควรพิจารณาเกณฑ์ต่างๆ ดังต่อไปนี้ ประกอบการตัดสินใจ คือ

  1. ด้านผู้วิจัยหรือหน่วยงานที่ผู้วิจัยทำงาน

 

1.1 เป็นเรื่องที่ผู้วิจัยหรือหน่วยงานที่ผู้วิจัยทำงานอยู่มีความสนใจ เพราะความสนใจจะเป็นแรงจูงใจให้ผู้วิจัยทำงานวิจัยได้สำเร็จ เพราะลักษณะของการวิจัยเป็นการทำกิจกรรมที่ต้องอาศัยความพากเพียร ความอดทน ความตั้งใจจริง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเลือกปัญหาที่ตนสนใจ

1.2 เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับความรู้   ความสามารถของผู้วิจัยหรือหน่วยงานที่ผู้วิจัยทำงานอยู่ ผู้วิจัยต้องพิจารณาถึงความสามารถพื้นฐานและประสบการณ์ของตนเองและหน่วยงาน    แต่ถ้าผู้วิจัยหรือหน่วยงานมีความรู้หรือมีประสบการณ์เกี่ยวกับการทำวิจัยไม่เพียงพอ อาจแก้ไขโดยการทำวิจัยเป็นคณะ หรือจ้างบริษัทที่ปรึกษา หรืออาจต้องหาองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ทำการวิจัยให้เพียงพอก่อนที่จะลงมือทำการวิจัย

        2. ด้านปัญหาที่จะทำการวิจัย

2.1 เป็นปัญหาที่มีความสำคัญ กล่าวคือ ผลการวิจัยควรมีคุณค่าหรือมีประโยชน์ต่อองค์การ ต่อสังคม ต่อเศรษฐกิจ ฯลฯ สามารถนำไปพิจารณาปรับปรุงระบบการทำงานหรือแก้ไขปัญหาต่างๆ ขององค์การ  ต่อสังคม ต่อเศรษฐกิจ ฯ

2.2 ความน่าสนใจและทันต่อเหตุการณ์ หัวข้อการวิจัยที่ดีควรจะเป็นหัวข้อที่กำลังได้รับความสนใจจากหน่วยงาน จากรัฐบาล หรือจากคนทั่วๆ ไป เช่น หัวข้อการวิจัยนั้น เป็นเรื่องที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในขณะนั้น และยังไม่มีผู้ใดทำการศึกษาค้นคว้าหาคำตอบ เพื่อนำมาแก้ไขปัญหานั้น หรือเป็นหัวข้อการวิจัยที่ผู้วิจัยคาดว่าจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจในอนาคต การที่จะทราบว่าเรื่องใดเป็นเรื่องที่กำลังเป็นที่น่าสนใจนั้น ผู้วิจัยต้องมีคุณสมบัติเป็นนักอ่าน นักฟัง  นักค้นคว้า และนักสังเกตที่ดี

3. ด้านสภาพที่เอื้อต่อการทำวิจัย

 3.1 มีแหล่งค้นคว้าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยอย่างเพียงพอ อาจเป็นห้องสมุดหรือบริการสืบค้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์  เป็นต้น

3.2 ความร่วมมือของผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะงานวิจัยที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากภายในหน่วยงาน เช่น การสนับสนุนของผู้บริหารหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง และการให้ความร่วมมือจากหน่วยงานภายนอกอื่นๆ เช่น ความร่วมมือจากกลุ่มตัวอย่าง หน่วยงานที่จะให้ข้อมูล เป็นต้น

3.3 ความเป็นไปได้ในการดำเนินงาน การทำวิจัยทุกเรื่องจะต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายและเวลาในการดำเนินงาน ดังนั้น ผู้วิจัยจำเป็นต้องพิจารณาก่อนว่า งบประมาณที่มีอยู่นั้นจะเพียงพอสำหรับการดำเนินการจนเสร็จสิ้นหรือไม่ และมีความเป็นไปได้ในการดำเนินงานให้เสร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้หรือไม่ เพราะถ้าขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งไม่สามารถดำเนินได้ตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ จะมีผลทำให้การดำเนินงานในขั้นตอนอื่นๆ ที่ตามมาล่าช้าไปด้วย และในที่สุดก็จะทำให้ผลการวิจัย  ล่าช้าออกไป จนทำให้ข้อมูลที่ได้มานั้นล้าสมัยและไม่มีประโยชน์ต่อการนำไปแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันต่อเหตุการณ์ ทำให้ผลการวิจัยนั้นหมดคุณค่าไปทั้งๆ ที่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและน่าสนใจ

        ดังนั้น ในการที่จะทำวิจัยผู้วิจัยต้องทราบถึงปัญหาที่จะทำการวิจัย ตลอดจนวิเคราะห์ว่าปัญหาที่ทำการวิจัยนั้นมีความสำคัญ และผู้วิจัยมีศักยภาพในการทำวิจัยได้สำเร็จ

.......................................

เอกสารอ้างอิง

ปาจรีย์  ผลประเสริฐ และคณะ. (2551). “เอกสารศึกษาการวิจัยและการเขียนบทความ.” เอกสารประกอบการบรรยายหลักสูตรการบริหารงานตำรวจชั้นสูง. พิมพ์ครั้งที่ 3, ม.ป.ท.

 

.............................................