การสวดมนต์เพื่อการบำบัดโรค
โดย รองศาสตราจารย์ ดร.สมโภช รติโอฬาร
การสวดมนต์ได้รับความนิยมมากขึ้นในฐานะทางเลือกในการรักษาทางการแพทย์ เรียกว่า สวดมนต์ บำบัด (Vibrational Therapy) หรือพลังดุริยมนตรา หรือพลังรังสีธรรม
ผู้นำทางจิตวิญญาณ เช่น ท่านดาไลลามะ ดร.ดีพัค โชพระ และศรีศรี ราวิชางเกอร์ และโยคีมาเฮช จัดเป็นตัวอย่างของผู้นำทางจิตวิญญาณที่แสดงให้เห็นประโยชน์ในการสวดมนต์ เพราะเมื่อสวดมนต์ไปได้ระยะเวลาหนึ่ง จิตใจจะเงียบสงบซึ่งคือการทำสมาธินั่นเอง สอดคล้องกับ ดร.พระอาจารย์สิงห์ทน นราสโภ ที่อธิบายว่าพลังรังสีธรรม คือ พลังธรรมะหรือพลังจากการปฏิบัติธรรมที่สามารถเอาชนะโรคร้ายได้ เป็นการรักษาโรคด้วยพลังปรมาณูโดยอาศัย สมาธิ เป็นตัวช่วย ส่วนพลังดุริยมนตรา คือ การสวดมนต์ ซึ่งทำให้เกิดพลังรังสีธรรม คล้ายกับศาสตร์แห่งการรักษาหนึ่งในมรณศาสตร์ของชาวทิเบต ซึ่งผู้ปฏิบัติจะเน้นการสวดมนต์ภาวนา
ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่า การสวดมนต์บำบัด คือหลักการหนึ่งของ Vibrational Therapy หรือ Vibrational Medicine คือ การใช้ คุณสมบัติของคลื่นบางคลื่นมาบำบัดความเจ็บป่วย ซึ่งมีหลากหลายวิธี อาทิ เก้าอี้ไฟฟ้า เครื่องนวดต่างๆ ซึ่งเป็นคลื่นไฟฟ้าเชิงฟิสิกส์ ที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต ต่างจากสวดมนต์บำบัดเป็นคลื่นที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต การสวดมนต์บำบัดทำให้เกิดทั้งคลื่นเสียงที่สามารถเดินทางลึกเข้าไปในสมอง และคลื่นไฟฟ้าที่ส่งกระจายไปในชั้นบรรยากาศไกลๆได้ การสวดมนต์ใช้หลักการทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความสม่ำเสมอ เพื่อเข้าไปกระตุ้นร่างกายให้เกิดการเยียวยา
ประโยชน์ด้านสุขภาพของการสวดมนต์
มีผู้กล่าวไว้ว่าหากเราสวดมนต์ไม่ว่าศาสนาใดก็ตามเพื่อให้ใครสักคนหายป่วย แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลก แต่พลังแห่งบทสวดนั้นจะเดินทางไปเยียวยาความเจ็บป่วยของเขาได้ กลไกการบำบัดเริ่มต้นเมื่อหูของเราได้ยินเสียง บทสวด ก็จะส่งสัญญาณต่อไปยังศูนย์การได้ยินที่อยู่บริเวณสมองกลีบขมับ ก่อนส่งไปบริเวณก้านสมอง ซึ่งเมื่อได้รับคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอ จะหลั่งสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์มากมาย
รองศาสตราจารย์ ดร. สมพร กันทรดุษฎี เตรียมชัยศรี หัวหน้าภาควิชาการพยาบาลสาธารณสุข คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายไว้ดังนี้
“สมองของเราเมื่อได้รับการ กระตุ้นด้วยคลื่นเสียงช้าๆ สม่ำเสมอประมาณ 15 นาทีขึ้นไป จะทำให้เซลล์ประสาทของระบบประสาทสมองสังเคราะห์สารสื่อประสาทหลายๆชนิด บริเวณก้านสมองจะหลั่งสารสื่อประสาทชื่อ ซีโรโทนิน (Serotonin) เพิ่มขึ้นซึ่งมีฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ ช่วยการเรียนรู้ ลดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น เมลาโทนิน ซึ่งเปรียบคล้ายกับยาอายุวัฒนะ เพราะจะช่วยยืดอายุการทำงานของเซลล์ประสาท เซลล์ร่างกาย ให้ชีวิตยืนยาวขึ้น และยังมีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับ เพิ่มภูมิต้านทาน ทำให้เซลล์สดชื่นขึ้น รวมถึง โดปามีน มีฤทธิ์ลดความก้าวร้าวและอาการพาร์กินสัน นอกจากนี้ปริมาณของซีโรโทนินมีความสัมพันธ์ต่อการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทอื่นๆ เช่น อะเซทิลโคลีน ช่วยในกระบวนการเรียนรู้และความจำ ช่วยขยายเส้นเลือด ทำให้ความดันลดลง และยังช่วยลดปริมาณ อาร์กินิน วาโซเปรสซิน ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมความก้าวร้าว ความสมดุลของน้ำ และซีโรโทนินยังเข้าไปลดปริมาณของสารเคมีชนิดหนึ่งที่เป็นตัวกระตุ้นของการ ทำงานของต่อมหมวกไตให้ลดลง ส่งผลให้ระบบประสาทส่วนกลางทำงานน้อยลง ร่างกายจึงรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง และไม่เครียด ภูมิต้านทานเพิ่มขึ้น และไม่ใช่เฉพาะสารสื่อประสาท ที่มี ประโยชน์เท่านั้นที่เราจะได้จากการสวดมนต์ แต่การสวดมนต์ยังทำให้อวัยวะต่างๆได้รับการกระตุ้น คล้ายกับการนวดตัวเองจากการเปล่งเสียงสวดมนต์”
อาจารย์ เสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต อธิบายหลักการนี้ว่า “เวลา เราสวดมนต์นานๆ คำแต่ละคำจะสร้างความสั่นสะเทือนไม่เท่ากันตามฐานที่เกิดของเสียงหรือตามวิธีเปล่งเสียง แม้ว่าเสียงจะออกมาจากปากเหมือนกัน แต่ว่าเสียงบางเสียงออกมาจากริมฝีปาก บางเสียงออกมาจากปุ่มเหงือก บางเสียงออกมาจากไรฟัน บางเสียงออกมาจากคอ ดังนั้นถ้าเราสวดมนต์ถูกต้องตามฐานกรณ์ จึงเกิดพลังของการสั่นและเมื่อเกิดพลังของการสั่น เสียงสวดมนต์จะไปช่วยกระตุ้นต่อมต่างๆ ซึ่งจะช่วยปราบเชื้อโรคบางชนิด เช่นการวิจัยของฝรั่ง พบว่า อักษร เอ บี ซี ดี จะช่วยกระตุ้นระบบน้ำย่อย ส่วนบทสวดมนต์ในพระพุทธศาสนา เสียงอักขระแต่ละตัวมีคำหนักเบาไม่เท่ากัน บางตัวสั่นสะเทือนมาก บางตัวสั่นสะเทือนน้อย ทำให้ต่อมต่างๆในร่างกายถูกกระตุ้น เมื่อต่อมที่ฝ่อถูกกระตุ้นบ่อยๆเข้า ก็คงคืนสภาพ อาการป่วยก็จะดีขึ้น”
แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้น การสวดมนต์ให้ประโยชน์ทางใจที่มีคุณค่ากับผู้สวด ซึ่ง
รองศาสตราจารย์จุฑาทิพย์ อุมะวิชนี ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สรุปว่ามี 2 ข้อ คือ
- การสวดมนต์เป็นเครื่องช่วยให้เกิดสมาธิ โดยต้องสวดเสียงดัง ให้หูได้ยินเสียงตัวเอง และจิตใจต้องจดจ่ออยู่กับเสียงสวด เมื่อใจไม่ฟุ้งไปที่อื่น ใจอยู่กับเสียงเดียว จึงเกิดสมาธิ
- ถ้าเข้าใจความหมายของบทสวดนั้นๆ จะทำให้เรามีความเลื่อมใสศรัทธา เพราะบทสวดของทุกศาสนาเป็นเรื่องของความดีงาม จิตใจก็จะสะอาดขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น เป็นการยกระดับจิตใจของผู้สวดเมื่อร่างกายที่รับสารสื่อประสาทที่มีประโยชน์และการกระตุ้นระบบอวัยวะต่างๆให้ทำงานเป็นปกติ เท่ากับว่าเราได้ผ่อนคลายทั้งอวัยวะและโรคที่เป็นอยู่
วิธีการสวดมนต์เพื่อดูแลสุขภาพหรือบำบัดโรค
สวดมนต์บำบัดมีวิธีการและจุดประสงค์ที่หลากหลาย สามารถสรุปได้ 3 แบบ ดังนี้
1. การสวดมนต์ด้วยตัวเอง เป็น การเหนี่ยวนำตัวเอง จึงเป็นที่มาของคำว่า Prayer Therapy ถือเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพราะหากใครสักคนคิดที่จะสวดมนต์ นั่นหมายความว่าเขากำลังมีความปรารถนาดีต่อตนเอง วิธีการ คือ
- ควรสวดด้วยตัวเอง และไม่ควรสวดมนต์หลังกินอาหารทันที ควรทิ้งช่วงให้ร่างกายเริ่มผ่อนคลาย อาจเป็นเวลาก่อนเข้านอน
- หาสถานที่ที่สงบเงียบ
- สวดบทสั้น ๆ 3-4 พยางค์ โดยใช้เวลาประมาณ 10-15 นาทีขึ้นไป จะทำให้ร่างกายได้หลั่งสารซีโรโทนิน แต่หากสวดมนต์ด้วยบทยาวๆ จะได้ความผ่อนคลายและความศรัทธา
- ขณะสวดมนต์ให้หลับตา สวดให้เกิดเสียงดังเพื่อให้ตัวเองได้ยิน
2. การฟังผู้อื่นสวดมนต์ เป็นการเหนี่ยวนำโดย คลื่นเสียงจากผู้อื่น เช่น การฟังเสียงพระสวดมนต์ เสียงผู้นำสวดในศาสนาต่างๆ หากผู้สวดมีสมาธิ เสียงสวดนั้นจะนุ่ม ทุ้ม ทำให้เกิดคลื่นที่ช่วยเยียวยา (Healing) ผู้ฟัง แต่หากผู้สวดไม่มีสมาธิ ไม่มีความเมตตา เสียงสวดที่เกิดขึ้นอาจเป็นคลื่นขึ้นๆลงๆ นอกจากจะไม่ช่วยเยียวยาอาการป่วย อาจทำให้เสียสุขภาพได้
3. การสวดมนต์ให้ผู้อื่น ปรากฏการณ์มากมายที่เราเห็นในสังคม เมื่อใครสักคนเจ็บป่วย เรามักสวดมนต์หรืออธิษฐานขอให้ความเจ็บป่วยของเขาหายไป บางครั้งอยู่ห่างกันคนละซีกโลก เสียงสวดมนต์เหล่านี้จะมีผลทำให้สุขภาพเขาดีขึ้น เพราะคลื่นสวดมนต์เป็นคลื่นบวก เกิดจากจิตใจที่ดีงาม ปรารถนาดีต่อผู้ป่วย และเมื่อเราคิดจะส่งสัญญาณนี้ออกไปสู่ที่ไกลๆ มันจะเดินทางไปในรูปของคลื่นไฟฟ้า ซึ่งมนุษย์มีเซลล์สมองที่สามารถส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าและสารเคมีได้ถึงสิบยกกำลังสิบ คลื่นนี้จึงเดินทางไปได้ไกลๆ บางทีพ่อกำลังป่วยหนัก อยู่ที่นี่ แต่ลูกอยู่ต่างประเทศ ก็สามารถรับคลื่นนี้ได้และรู้ว่ามีใครกำลังไม่สบาย ที่เราเรียกว่า ลางสังหรณ์หรือสัมผัสที่หก หรือโทรจิต
การรับรู้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้รับ ผู้ส่งด้วย ถ้าคนไหนรับสัญญาณคลื่นแห่งบทสวดมนต์ได้จึงได้ผล เหมือนเราเปิดวิทยุ ถ้าคนฟังปิดหูก็จะไม่ได้ยิน ดังนั้นถ้าต่างฝ่ายต่างเปิดรับคลื่นบวกที่เราส่งไป ผู้ป่วยก็จะได้รับ และทำให้อาการป่วยดีขึ้นได้ จึงไม่ใช่เรื่องของความมหัศจรรย์ แต่เป็นหลักธรรมชาติทั่วไป
การสวดมนต์ให้เกิดคุณภาพสูงสุดและได้ผลดี ดร.พระอาจารย์สิงห์ทน นราสโภ ให้คำแนะนำว่าในการสวดมนต์ต้องเข้าใจวิธีสวด คือ ต้องสวดมนต์ออกเสียง เน้นเสียงให้มีอย่างน้อย 7 เสียง เหมือนคีย์โน้ตดนตรี ซึ่งมี 7 เสียง เพื่อกระตุ้นให้เกิดปีติ หากเข้าใจการเน้นเสียงทำให้เป็น 7 เสียง เป็นอย่างน้อยจะช่วยกระตุ้นให้เกิดปีติสุข เกิดเป็นสมาธิหรือรวมเป็นหนึ่งหรือเอกคัคคตาดื่มด่ำในเสียง เมื่อดื่มด่ำในเสียงก็จะเริ่มซึมซับรับธรรมะเข้ามาขัดเกลาจิตใจให้สะอาด ผ่องใสโดยง่าย
นอกจากนี้ในการสวดมนต์ยังต้องพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งเร้าต่างๆ เพราะหากมีสิ่งเร้า หลายๆประเภทเข้ามารบกวนกระบวนการทำงานของคลื่นสมองพร้อม ๆ กัน จะทำให้สัญญาณคลื่นสมองเปลี่ยนไป การหลั่งสารสื่อประสาทจะสับสน ไม่มีผลในการเยียวยา สิ่งเร้านี้มาจากหลายส่วน ทั้งตัวเอง เช่น บางคนปากสวดมนต์ แต่คิดฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่น ก็ไม่ได้ประโยชน์ และการเกิดเสียงดังอื่นๆ เข้ามารบกวนขณะสวดมนต์ เพราะประสาทสัมผัสของมนุษย์รับรู้ได้ไวและอ่อนไหวมาก เรามีตัวประสาทรับสัญญาณมากมาย เรารับสิ่งเร้าได้ทั้งจากทางปาก ตา หู จมูก การเคลื่อนไหว และใจ เหล่านี้ทำให้สัญญาณคลื่นสมองสับสนและเปลี่ยนไป ร่างกายก็จะสร้างซีโรโทนินได้ไม่มากพอ”
การเลือกบทสวดมนต์
บทสวดมนต์เพื่อการบำบัดควรใช้บทไหนดี อาจารย์สมพรแนะนำว่า ในพระพุทธศาสนา มีบทสวดมนต์มากมายหลายบท ให้เลือกใช้ตามความชอบ เช่น อิติปิโส หรือ นะโม ตัสสะ นะโมพุทธายะ หรือสัพเพสัตตา ฯลฯ เลือกท่อนใดท่อนหนึ่งแล้วสวดวนไปวนมา หรือโพชฌงค์ 7 ที่หลายคนนิยมสวดให้ตัวเองหรือคนไข้หายป่วย
ดังนั้นการสวดมนต์เพื่อการบำบัดจึงเป็นทางเลือกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้บุคคลสามารถเกิดสมาธิ ความนิ่ง สงบ และหากความต่อเนื่องในการปฏิบัติ รวมทั้งเรียนรู้ในการสวดมนต์อย่างถูกต้องเพื่อการบำบัด ยิ่งจะส่งเสริมให้ผู้สวดมนต์เกิดพลังในการเยียวยาตนเองและผู้อื่น ดังนั้นอยากให้ตัวเองและผู้อื่นมีสุขภาพกายใจ เป็นสุขและยังน้อมนำกุศลจิต ควรเริ่มจากการสวดมนต์เป็นประจำ
............................................................................
เอกสารอ้างอิง
สายทิพย์ “การสวดมนต์บำบัด” [ออนไลน์] ค้นคืนจาก http://download.drtanasit.com/ เมื่อ 16 มีนาคม 2556
สันติสุข สันติสุข “ความสำคัญและประโยชน์จากการสวดมนต์” [ออนไลน์] ค้นคืนจาก http://www.gotoknow.org/posts/322262 เมื่อ 16 มีนาคม 2556
ดุริยมนตรา [ออนไลน์] ค้นคืนจาก http://guru.google.co.th/guru/thread?tid=6a1f58006fbefe3b เมื่อ 16 มีนาคม 2556
|