ปัญหาการใช้คำ win, lose, defeat, beat

 

                ในกรณีที่มีการแข่งขันไม่ว่าจะเกิดขึ้นในด้านการเมือง ด้านกีฬา หรือด้านเศรษฐกิจ มักจะมีฝ่ายแพ้และฝ่ายชนะ ซึ่งมีวิธีการเขียนแสดงออกมาในภาษาไทยง่ายมาก กล่าวคือ

(1)     . ชนะ ข.

(2)     . แพ้ ก.

ในภาษาไทยทราบทันทีว่าใครชนะ ใครแพ้ เพราะฝ่ายที่ชนะมาก่อนคำ “ชนะ” และฝ่ายที่แพ้มาก่อนคำ “แพ้” เสมอ แต่ภาษาอังกฤษซับซ้อนกว่านี้เพราะมีคำมากกว่าสองคำที่ใช้ในความ

หมายของชนะหรือแพ้ คำแต่ละคำใช้ไม่เหมือนกัน ดังนั้นบางครั้งคนไทยต้องการที่จะบอกว่า A แพ้ B แล้วเขียนว่า

(3)     A beat B

(4)     A defeated B

ที่เขียนเช่นนี้ก็เพราะเข้าใจผิดว่าคำ beat และ defeat ใช้เหมือนกับ “แพ้” จึงเอาฝ่ายที่แพ้มาใส่ก่อนกริยา beat หรือ defeat แต่เมื่อทำเช่นนี้ความหมายก็กลับตรงกันข้ามกับที่ต้องการเพราะในประโยค (3) และ (4) A เป็นฝ่ายชนะ ไม่ใช่ฝ่ายแพ้

ถ้านักศึกษาจะทำความเข้าใจกับการใช้คำเหล่านี้ ควรเริ่มต้นกับคำว่า win และ lose เพราะใช้ในความหมายเหมือนกับ “ชนะ” และ “แพ้” ในภาษาไทย คือฝ่ายที่ชนะมาก่อนคำ win และฝ่ายที่แพ้มาก่อนคำ lose เสมอ ดังในประโยคต่อไปนี้

(5)     ü The San Francisco Forty-Niners won the Super Bowl.

(6)     ü Chris Evert Lloyd lost in the finals at Wimbledon.

แต่การใช้คำ beat และ defeat ยุ่งยากกว่า เพราะใช้เป็นได้ทั้ง active และ passive voice ถ้าใช้ในรูป active voice ฝ่ายที่ชนะมาก่อนคำกริยา ดังในประโยคต่อไปนี้

(7)     ü Khaosai Galaxy beat/defeated Refael Orono.

(8)     ü Thammasat University beat/defeated Chulalongkorn University.

แต่ถ้าใช้ beat และ defeat ในรูป passive voice ฝ่ายที่แพ้มาก่อนกริยาดังในประโยค

(9)      ü Rafael Orono was beaten by Khaosai Galaxy.

(10)  ü Chulalongkorn University was defeated by Thammasat University.

สรุปได้ว่า win และ lose ใช้เหมือนกับ “ชนะ” และ “แพ้” ในภาษาไทย คือฝ่ายที่ชนะมาก่อนคำ win และฝ่ายที่แพ้มาก่อนคำ lose เสมอ ส่วนคำ beat และ defeat ถ้าใช้ในรูป active voice ฝ่ายชนะมาก่อนกริยา ถ้าใช้ในรูป passive voice ฝ่ายแพ้มาก่อนกริยา