หน้าแรก
จิตสังคมผู้สูงอายุ
สิทธิผู้สูงอาย
ปกิณกะ-สาระ-บันเทิง
สุขภาพผู้สูงอายุ
การจัดการการเงินสำหรับผู้สูงอายุ
ธรรมสร้างสุข
 
 
  หน้าแรก จิตสังคมผู้สูงอายุ  
 
กดเล่น เพื่อฟังเสียง
 
 

การครองตนในครอบครัวอย่างมีความสุขของผู้สูงอายุ
รองศาสตราจารย์ ดร.เจียรนัย  ทรงชัยกุล
สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

   ผู้สูงอายุโดยทั่วไปจะดำรงชีวิตอย่างมีความสุขตามอัตภาพได้นั้น  มีสาเหตุพื้นฐานที่สำคัญบางประการมาจากการที่ผู้สูงอายุมีสุขภาพแข็งแรง  พึ่งพาตนเองได้ทางเศรษฐกิจ และจัดการด้าน  ที่อยู่อาศัยของตนเองได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ การที่ผู้สูงอายุจะดำเนินชีวิตร่วมกันกับสมาชิกในครอบครัวอย่างมีความสุขทางใจได้นั้น  ผู้สูงอายุจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่องกับสมาชิกในครอบครัวทุกคน  ซึ่งอาจจะประกอบไปด้วย  คู่สมรส ลูก หลาน ญาติ มิตร และผู้ดูแล   เป็นต้น

   บทความนี้จึงมุ่งเน้นการนำเสนอวิธีการสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่องระหว่างผู้สูงอายุกับสมาชิกในครอบครัวโดยนำหลักธรรมของพุทธศาสนามาใช้ เพื่อให้การครองตนในครอบครัวของผู้สูงอายุดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีความสุข

การครองตนในครอบครัวของผู้สูงอายุอย่างมีความสุขโดยวิธีการ “พ-อ-ส”

“พ-อ-ส” ย่อมาจากอักษรตัวแรกจากหลักธรรม 3 หมวดของพุทธศาสนา ได้แก่ “รหมวิหาร 4”   “ธิษฐาน 4”  และ “สังคหวัตถุ 4”  ซึ่งผู้เขียนได้นำมาประยุกต์ใช้เป็นวิธีการสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่องระหว่างผู้สูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว วิธีการ “พ-อ-ส”มีสาระสำคัญพอสรุปได้ตามลำดับ ดังนี้

 

1.  การมีธรรมประจำใจ 4 ประการของผู้มีจิตใจยิ่งใหญ่  (พรหมวิหาร 4)
การมีธรรมประจำใจ4ประการของผู้มีจิตใจยิ่งใหญ่  หรือ“พ4” ประกอบด้วย การมีความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขมอบให้เพื่อนมนุษย์-การมีความสงสาร-การมีความเบิกบานพลอยยินดี-การมีใจเป็นกลาง  ซึ่งผู้สูงอายุสามารถนำไปประยุกต์ใช้สร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่องกับสมาชิกในครอบครัว  มีสาระสำคัญพอสรุปได้ดังนี้

 

1.1การมีความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขมอบให้เพื่อนมนุษย์ (เมตตา)  ผู้สูงอายุควรมีความปรารถนาดี  การมองกันในแง่ดี  ความเห็นใจ  ความห่วงใย  และการมีไมตรี  มอบให้แก่สมาชิก   ทุกคนในครอบครัวอยู่เสมอ  เพราะการมีความรักอย่างไม่มีเงื่อนไขเป็นรากฐานก่อให้เกิดความปรองดองและความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นระหว่างผู้สูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว  นอกจากนั้นผู้สูงอายุควรมีความเต็มใจช่วยเหลือสมาชิกในครอบครัวทำภารกิจต่าง ๆ ตามอัตภาพ  และตามบทบาทหน้าที่ทางสังคมของตน  เพื่อสนับสนุนให้สมาชิกในครอบครัวได้ประโยชน์  และมีความสุข  ความสบาย 

1.2 การมีความสงสาร (กรุณา) 
ผู้สูงอายุควรพยายามช่วยเหลือสมาชิกในครอบครัวทุกคนให้ผ่านพ้นจากความทุกข์ยาก เดือดร้อน ผู้สูงอายุควรดูแลเอาใจใส่สมาชิกในครอบครัวที่มีประสบการณ์น้อยหรือด้อยโอกาส ซึ่งจะช่วยผ่อนปรน หรือหลีกเลี่ยงความยากลำบากที่สมาชิกในครอบครัวเผชิญอยู่  อีกทั้งยังช่วยสร้างเสริมความมั่นคงทางจิตใจ  และสร้างภูมิคุ้มกันที่สามารถใช้รักษาตัวรอดได้ต่อไปในอนาคต หากสมาชิกในครอบครัวผู้ใดทำผิดพลาด ผู้สูงอายุก็ควรให้อภัยและให้โอกาสแก้ไขปรับปรุงให้ถูกต้องและเหมาะสมยิ่งขึ้น

1.3 การมีความเบิกบานพลอยยินดี (มุทิตา)
 ผู้สูงอายุควรประคับประคองจิตใจให้แช่มชื่นเบิกบาน  ถ้ามีสมาชิกในครอบครัวพบความก้าวหน้าทางการศึกษา หรือมีความสำเร็จจากการประกอบสัมมาชีพ หรือมีครอบครัวที่มั่นคง หรือมีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นในครอบครัว  ผู้สูงอายุควรแสดงความชื่นชมยินดีกับสมาชิกในครอบครัวผู้นั้นอย่างจริงใจทั้งต่อหน้าและลับหลัง  เพื่อจูงใจให้เขามุ่งมั่นก้าวสู่เป้าหมายอื่น ๆ ต่อไปอีก  จนพบกับความสำเร็จและมีความสุขเรื่อยไป  ขณะเดียวกันผู้สูงอายุก็ไม่ควรละเลยที่จะสนับสนุนอุปถัมภ์ค้ำชูสมาชิกในครอบครัวทุกคนให้พยายามก้าวสู่เป้าหมายที่ดีงามจนพบกับความสำเร็จและมีความสุขด้วยโดยถ้วนหน้า

1.4 การมีใจเป็นกลาง (อุเบกขา)
 ผู้สูงอายุควรพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริงและปราศจากอคติ  แล้วปฏิบัติไปตามหลักการและเหตุผลที่ถูกต้อง  เที่ยงธรรม  โดยไม่หวั่นไหว  เช่น  ผู้สูงอายุควรยอมรับข้อดีและข้อด้อยของตนเองได้ตามความเป็นจริง  และยอมรับข้อดีและข้อด้อยของสมาชิกครอบครัวแต่ละคนได้ตามความเป็นจริงเช่นเดียวกัน  ผู้สูงอายุควรยอมรับและเคารพในความแตกต่างของสมาชิกในครอบครัวแต่ละคนได้  รวมทั้งให้ความเป็นธรรมแก่สมาชิกในครอบครัวอย่างเท่าเทียมกันด้วย

 

2.  การมีหลักธรรม 4 ประการเป็นที่ยึดมั่นสำหรับปฏิบัติตาม  (อธิษฐาน 4)
การมีหลักธรรม 4 ประการเป็นที่ยึดมั่นสำหรับปฏิบัติ  หรือ  “อ4”  ประกอบด้วย  การใช้ปัญญา-การรักษาความสัตย์-ความยินดีเสียสละ-การหาความสุขสงบ มีสาระสำคัญพอสรุปได้ดังนี้

 

2.1 การใช้ปัญญา ผู้สูงอายุควรอยู่ร่วมกันกับสมาชิกในครอบครัวโดยใช้ปัญญาเหนืออารมณ์  เช่น  หากมีสิ่งใดที่ไม่พึงปรารถนาเกิดขึ้นกับสมาชิกในครอบครัว  ผู้สูงอายุก็สามารถเป็นที่ปรึกษาอาวุโสที่ได้รับการเคารพนับถือของคนในครอบครัว  มาช่วยเสนอแนะทางออกในการแก้ไขปัญหา  อุปสรรคที่กำลังเผชิญอยู่ได้  โดยแนะนำวิธีคิดอย่างมีเหตุผลและมีวิจารณญาณ  การรู้จักนำข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาร่วมพิจารณาประกอบการตัดสินใจ  การยอมรับฟังความคิดเห็นของกันและกันอย่างเพียงพอ  และการมีวิธีการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด  เป็นต้น

2.2 การรักษาความสัตย์
 ผู้สูงอายุควรดำรงตนให้มั่นคงอยู่ในความจริงและรักษาความจริงกับสมาชิกในครอบครัวทุกคน  เช่น  ผู้สูงอายุจะปฏิบัติกับสมาชิกในครอบครัวทุกคนด้วยความจริงใจ  ซื่อตรง  รักษาคำพูด  มีการปฏิบัติหรือการกระทำที่สอดคล้องกันกับการพูด  มีความน่าเชื่อถือ  ไว้วางใจได้  ผู้สูงอายุก็จะเป็นตัวแบบที่ดีให้สมาชิกในครอบครัวได้เห็น  ศรัทธา  และอยากทำตาม

2.3 ความยินดีเสียสละ
 ผู้สูงอายุควรยินดีเสียสละความสุขสบายเฉพาะของตนเองได้  เพื่อความสุขสบายของสมาชิกในครอบครัวส่วนรวม  ผู้สูงอายุควรมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  รู้จักการให้  การเกื้อกูลกันระหว่างสมาชิกในครอบครัว  เพราะการเสียสละจะช่วยให้ผู้สูงอายุเกิดปีติ  มีเสน่ห์  และมีสุขภาพจิตดีขึ้น

2.4 การหาความสุขสงบ
 ผู้สูงอายุควรหาความสุขสงบทางจิตใจ  รู้รสของความสงบและสันติสุข  รู้จักทำจิตใจให้ผ่องใส  ไม่หลงใหลในวัตถุ  ลาบ  ยศ  สรรเสริญ  หมั่นอบรมขัดเกลาจิตใจของตนเองด้วยการศึกษาหลักธรรมคำสอนของศาสนา หรือการสวดมนต์  การทำสมาธิ  การคิดในเชิงบวก  และการปล่อยวาง  เป็นต้น  เมื่อผู้สูงอายุมีความสุขสงบทางจิตใจ  ย่อมเป็นการลดละความเครียดและความขัดแย้งระหว่างสมาชิกในครอบครัว

 

3.  การมีธรรมยึดเหนี่ยวใจคนและประสานหมู่ชนไว้ในสามัคคี 
(สังคหวัตถุ 4)

การมีธรรมยึดเหนี่ยวใจคนและประสานหมู่ชนไว้ในสามัคคี  หรือ  “ส4”   ประกอบด้วย  การแบ่งปัน-การพูดอย่างรักกัน-การทำประโยชน์แก่เขา-การเอาตัวเข้าสมาน  มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้

 
3.1 การแบ่งปัน (ทาน) ผู้สูงอายุควรแบ่งปันลาภผลที่ได้มาหรือสะสมไว้ให้แก่สมาชิกในครอบครัวทุกคนอย่างถูกต้องและเป็นธรรม  ควรช่วยเหลือเกื้อกูลสมาชิกทุกคนในครอบครัวด้วยการให้ทรัพย์  สิ่งของ  รวมทั้งการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ที่มีประโยชน์ให้ตามความเหมาะสม

3.2 การพูดอย่างรักกัน (ปิยวาจา)
 ผู้สูงอายุควรพูดด้วยถ้อยคำสุภาพ  ไพเราะ  ชวนฟัง  ในการสนทนากับสมาชิกในครอบครัว  อีกทั้งผู้สูงอายุควรชี้แจงแนะนำสิ่งที่เป็นประโยชน์  ชักจูงสิ่งที่ดีงามให้แก่สมาชิกในครอบครัว  ตลอดจนสร้างความเข้าใจที่ดีให้เกิดขึ้นระหว่างสมาชิกในครอบครัว  โดยการพูดให้กำลังใจ   พูดให้เกิดความสบายใจและเกิดไมตรีที่ดีต่อกัน  ขณะเดียวกันผู้สูงอายุก็ควรเป็นผู้ฟังที่ดีในระหว่างการสนทนากับสมาชิกในครอบครัวด้วย

3.3 การทำประโยชน์แก่เขา (อัตถจริยา) 
ผู้สูงอายุควรขวนขวายช่วยเหลือแบ่งเบาภารกิจต่าง ๆ ของสมาชิกในครอบครัวเท่าที่จะทำได้  เช่น  ช่วยแบ่งเบาภาระงานบ้านที่ไม่หนักหรือซับซ้อน  ช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายบางส่วนของครอบครัว  ช่วยฝึกฝนอบรมจริยธรรมให้สมาชิก      ผู้เยาว์วัยในครอบครัว  ช่วยดูแลต้นไม้  สัตว์เลี้ยง  และช่วยรับโทรศัพท์ให้สมาชิกในครอบครัว  เป็นต้น

3.4 การเอาตัวเข้าสมาน (สมานัตตตา)
 ผู้สูงอายุควรปรับตัวให้เข้ากับสมาชิกทุกคนในครอบครัวได้ดี  ไม่ปล่อยให้มีช่องว่างระหว่างวัย  ให้ความร่วมมือกับผู้อื่นได้  เคารพในบทบาทหน้าที่ของกันและกัน  ไม่เอาเปรียบ  ไม่เรียกร้องความสนใจ ความเห็นใจจากสมาชิกในครอบครัวจนเกิดความพอดีพองาม  ผู้สูงอายุควรร่วมสุข  ร่วมทุกข์  และร่วมกันแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ของสมาชิกในครอบครัวโดยไม่ย่อท้อ  เพื่อให้เกิดประโยชน์สุขร่วมกันของสมาชิกในครอบครัว  รวมทั้งผู้สูงอายุควรวางตัวเสมอต้นเสมอปลาย  ปฏิบัติตัวสม่ำเสมอ  และให้ความเสมอภาคในครอบครัว
 
 

สรุปได้ว่า  การวางตนในครอบครัวอย่างมีความสุขของผู้สูงอายุโดยวิธี “พ-อ-ส”  ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดีอย่างต่อเนื่องระหว่างผู้สูงอายุกับสมาชิกในครอบครัว  จะเกิดประโยชน์สำหรับผู้สูงอายุแต่ละคนมาก-น้อยเพียงใดนั้น  ขึ้นอยู่กับผู้สูงอายุแต่ละคนจะนำวิธีการ “พ-อ-ส”  ทั้ง 12 ประการ ไปใช้ปฏิบัติจริงกับตนเองในชีวิตประจำวัน จนเกิดผลสำเร็จที่พึงปรารถนา ความสุขในครอบครัวย่อมจะเกิดขึ้นกับตัวผู้สูงอายุเอง และสมาชิกทุกคนในครอบครัวโดยถ้วนหน้ากัน

 

เอกสารอ้างอิง
บรรลุ  ศิริพานิช (2544)  คู่มือผู้สูงอายุฉบับสมบูรณ์  พิมพ์ครั้งที่ 16  กรุงเทพมหานคร  สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน

พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุต.โต) (2542)  ทศวรรษธรรมทัศน์พระธรรมปิฎก: หมวดพุทธศาสตร์  พิมพ์ครั้งที่ 1  กรุงเทพมหานคร  ธรรมสภา

พระพรหมคุณาภรณ์  (ป.อ. ปยุต.โต) (2547)  ธรรมนูญชีวิต พิมพ์ครั้งที่ 3  กรุงเทพมหานคร  โรงพิมพ์การศาสนา

 

 
 
  © Copyright 2007-2008. All Rights Reserved.