เรื่องที่
3.3.1 ขั้นตอนในการตัดสินใจซื้อ |
นักการตลาดจะได้ประโยชน์จากการศึกษาขั้นตอนของกระบวนการตัดสินใจของผู้ซื้อว่าจะซื้อสินค้าหรือไม่
เพื่อที่จะพิจารณาดูว่าในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการตัดสิตใจของผู้บริโภคนั้น
นักการตลาดจะสามารถ
จัดส่วนประสมทางการตลาดให้เข้าไปมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคได้อย่างไรบ้าง
ตามปกติผู้บริโภคจะมีกระบวนการในการตัดสินใจซื้อ
5 ขั้นตอน ได้แก่
ความต้องการได้รับการกระตุ้นหรือการ
รับรู้ถึงความต้องการ
(Need arousal or Problem
recognition) การแสวงหาข้อมูล
(Information search)
การประเมินทางเลือก (Evaluation of
alternatives) การตัดสินใจซื้อ (Purchase
decision) และพฤติกรรมหลังการ
ซื้อ (Postpurchase behavior)
ดังรายละเอียดของแต่ละขั้นตอนต่อไปนี้
1. ความต้องการได้รับการกระตุ้นหรือการรับรู้ถึงความต้องการ
(Need arousal or Problem recognition)
จุดเริ่มต้นของกระบวนการซื้อคือ
การที่ผู้บริโภคตระหนักถึงปัญหาหรือถูกกระตุ้นให้เกิดความต้องการ
สิ่งกระตุ้น
ความต้องการของผู้บริโภคอาจเป็นสิ่งกระตุ้นภายในร่างกายหรือนักการตลาดอาจสร้างสิ่งกระตุ้นทางการตลาด
เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการขึ้นได้
นักการตลาดจะต้องรู้ถึงการใช้ตัวกระตุ้นให้เกิดความต้องการ
ในบางครั้งความต้องการได้รับการกระตุ้นและคงอยู่เป็นเวลานาน
แต่ความต้องการนั้นยังไม่ถึงระดับที่จะทำให้
เกิดการกระทำ เช่น
นักการตลาดอาจกระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อเสื้อผ้าใหม่
ๆ
โดยการออกแบบหรือเสนอแฟชั่นใหม่ๆ
สำหรับผู้นิยมแต่งกายตามแฟชั่น
หรือการที่ต้องมีการโฆษณาสินค้าซ้ำๆ
ร่วมกับการลดแลกแจกแถมเพื่อกระตุ้น
ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการความประหยัด
ดังนั้นนักการตลาดอาจจะต้องทำการวิจัยเพื่อให้ทราบ
ถึงความต้องการหรือปัญหาของผู้บริโภคที่จะนำไปสู่การซื้อผลิตภัณฑ์ของตน
เช่น
การนำเสนอรถยนต์ขนาดเล็ก
ที่เหมาะสำหรับการขับขี่ในเมืองที่มีปัญหาด้านที่จอดรถ
เป็นต้น
2. การแสวงหาข้อมูล (Information search)
เมื่อผู้บริโภคเกิดความต้องการแลวจะมีการแสวงหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณลักษณะที่สำคัญเกี่ยวกับประเภทสินค้า
ราคาสินค้า สถานที่จำหน่าย
และข้อเสนอพิเศษต่าง ๆ
เกี่ยวกับสินค้าที่ต้องการหลาย
ๆ ยี่ห้อ นักการตลาดควรจะ
สนใจถึงแหล่งข้อมูลต่าง ๆ
ที่ผู้บริโภคจะหาข้อมูลต่าง
ๆ
และอิทธิพลของแหล่งข้อมูลที่จะมีต่อการตัดสินใจซื้อ
ของผู้บริโภค
แหล่งข้อมูลของผู้บริโภคแบ่งได้เป็น
4 กลุ่ม ได้แก่
- แหล่งบุคคล (Personal Sources)
ได้แก่
เพื่อนสนิท ครอบครัว
เพื่อนบ้าน และผู้ใกล้ชิด
ซึ่งแหล่งบุคคลนี้
จะเป็นแหล่งข้อมูลที่มีอิทธิพลต่อผู้บริโภคมากที่สุด
-
แหล่งการค้า(Commercial Sources)
ได้แก่
โฆษณาต่าง ๆ
และพนักงานของบริษัท
-
แหล่งสาธารณะ (Public Sources) ได้แก่
สื่อมวลชนต่าง ๆ
-
แหล่งทดลอง (Experimental Sources) ได้แก่
ผู้ที่เคยทดลองใช้สินค้านั้น
ๆ แล้ว
นักการตลาดควรจะทราบว่าความสำคัญของแหล่งข้อมูลจะแตกต่างกันไปตามชนิดของสินค้าและลักษณะ
ของผู้ซื้อ
พบว่าโดยส่วนมากผู้บริโภคจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าประเภทสบู่
ยาสีฟัน จากโฆษณาต่าง ๆ
แต่ใน
การซื้อรถยนต์ผู้บริโภคมักจะหาข้อมูลจากการสอบถามผู้ที่เคยใช้
ดังนั้นจึงควรจะทำการศึกษาว่าในสินค้า
ประเภทที่ตนขายนั้นผู้บริโภคมีการหาข้อมูลจากแหล่งใดบ้าง
เพื่อจะได้ใช้กำหนดในด้านแผนการติดต่อสื่อสาร
กับผู้บริโภคต่อไป
3. การประเมินทางเลือก (Evaluation of
alternatives)
เมื่อผู้บริโภคได้รับข้อมูลข่าวสารก็จะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการเลือก
โดยจะมีการกำหนดความต้องการ
ของตนเองขึ้นพิจารณาลักษณะต่าง
ๆ
ของผลิตภัณฑ์ตรายี่ห้อต่าง
ๆ
ที่ได้รับข้อมูลมาทำการเปรียบเทียบข้อดี
ข้อเสียของแต่ละยี่ห้อ
และเปรียบเทียบกับคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ที่ตนตั้งไว้
โดยจะมีเรื่องของความเชื่อ
ความเชื่อ
ต่อตรายี่ห้อและเรื่องของทัศนคติต่าง
ๆ
เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก่อนที่จะตัดสินใจเลือกตรายี่ห้อที่ตรงกับความต้องการ
มากที่สุด
4. การตัดสินใจซื้อ (Purchase decision)
เมื่อผ่านขั้นของการประเมินทางเลือกต่าง
ๆ แล้ว
ผู้บริโภคจะได้สินค้าตรายี่ห้อที่ตรงกับความต้องการของตนเอง
มากที่สุดที่ตั้งใจจะซื้อ
นั่นคือผู้บริโภคจะเกิดความตั้งใจที่จะซื้อ
(Purchase Intention) ขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อถึง
เวลาที่จะทำการซื้อจริง ๆ
อาจมีปัจจัยอื่น ๆ
เข้ามามีผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้อีก
ได้แก่ ปัจจัย
ทางด้านสังคม (Social factors) เช่น
การที่นางสาวสุดสวยชอบรถญี่ปุ่นรุ่นขนาดเล็กประหยัดน้ำมันและสะดวก
ในการจอด
แต่ลูกน้องในที่ทำงานที่ซื้อรถใหม่มีแต่คนใช้รถยุโรปแบบหรูหรา
ราคาแพง
อาจมีผลทำให้นางสาว
สุดสวยลังเลไม่กล้าซื้อ
หรือเปลี่ยนใจไปซื้อยี่ห้ออื่น
เพราะเกิดความรู้สึกถึงความเสี่ยงว่าไม่เป็นที่ยอมรับของคน
ในสังคม
และยังเกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ
(Anticipated Situation Factors) เช่น
ในช่วงเวลาที่ตัดสินใจแล้วไปจนถึงช่วงเวลาที่จะซื้อจริงอาจเกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงต่าง
ๆ
ขึ้นได้แก่ภาวะ
เศรษฐกิจตกต่ำ
ผู้ซื้อตกงาน
มีผู้เคยใช้มาบอกว่าสินค้ายี่ห้อนั้น
ๆ ไม่ดี เป็นต้น
ซึ่งจะมีผลทำให้ผู้บริโภคเกิดความ
ลังเลใจในการซื้อ ทั้ง ๆ
ที่มีความตั้งใจซื้อแล้ว
ดังนั้นนักการตลาดไม่อาจจะเชื่อถือได้เต็มหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าการ
ที่ผู้บริโภคมีความตั้งใจที่จะซื้อสินค้าของเราแล้วจะต้องมีการซื้อเกิดขึ้นจริง
ๆ
เพราะผู้บริโภคมักจะเกิดการรับรู้ถึง
ความเสี่ยง (Risk Perception)
เกิดขึ้นซึ่งผู้บริโภคมักจะทำการลดความเสียงให้กับตัวเองโดยการสอบถามจาก
ผู้ที่เคยใช้หรือเลือกซื้อยี่ห้อที่มีการรับประกันหรือเลือกเฉพาะยี่ห้อที่มีคนใช้กันมากๆ(ไว้ใจได้)
ดังนั้นนักการตลาด
จะต้องพยายามให้ผู้บริโภคได้รับทราบข้อมูลต่าง
ๆ เกี่ยวกับสินค้า
ให้ความช่วยเหลือแนะนำในการซื้อ
และมีการ
รับประกันการซื้อครั้งนั้น
ๆ เป็นต้น
เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคคลายความรู้สึกเสี่ยงลงและตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
5. พฤติกรรมหลังการซื้อ
(Postpurchase behavior)
ในปัจจุบันนักการตลาดไม่ได้สนใจเพราะการซื้อของผู้บริโภคยังสนใจต่อไปถึงพฤติกรรมและความรู้สึกหลังการซื้อ
ของผู้บริโภคอีกด้วย
เนื่องจากหากผู้บริโภคซื้อสินค้าไปใช้แล้วเกิดความพึงพอใจในตัวสินค้าก็จะมีการซื้อซ้ำอีก
ในคราวต่อไป
แต่ในทางตรงข้าม
หากใช้แล้วไม่พอใจผู้บริโภคจะเกิดทัศนคติที่ไม่ดีต่อตัวสินค้าและเลิกใช้ในที่สุด
ดังนั้นนักการตลาดจะต้องคอยติดตามความรู้สึกของผู้บริโภคที่มีต่อส่วนประสมทางการตลาดด้านต่าง
ๆ เพื่อจะ
ได้นำมาปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมต่อไป
|