โรคพิษสุนัขบ้า ภัยร้ายที่มากับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
โดย...นายธนะพัฒน์   เพชรกล่อง
อาชีพปัจจุบัน แพทย์ประจำคลินิกชุมชนอบอุ่นเทศบาลนครแม่สอด
คลินิกชุมชนอบอุ่นเทศบาลนครแม่สอด ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก
อีเมล์ : phetklong2011@gmail.com

(เนื้อหาและภาพประกอบเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน)


ภาพจากเว็บไซต์
http://www.goosiam.com/health/html/0004876.html
ข้อมูลภาพ ณ วันที่
24-5-59


          จริงๆแล้วโรคพิษสุนัขบ้าไม่ได้เป็นโรคที่เกิดขึ้นใหม่ แต่ที่ต้องนำมาเล่าซ้ำเนื่องจากยังพบผู้ป่วยที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าและส่วนใหญ่จะเสียชีวิตเพราะปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษา
ที่ได้ผลดี
          โรคพิษสุนัขบ้าเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่สามารถก่อโรคได้ทั้งในคนและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์ที่เป็นรังของโรคได้แก่ สุนัข แมว ค้าวคาว และลิง
          ผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้าจะได้รับเชื้อโรคจากการสัมผัสหรือถูกสัตว์ที่ป่วยเป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด โดยโอกาสของการติดเชื้อโรคขึ้นอยู่กับความรุนแรงของบาดแผล ตำแหน่ง ความ
ลึก(ยิ่งบาดแผลที่ลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ จะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้สูง) และจำนวนไวรัสในน้ำลายของสัตว์ นอกจากนี้ยังพบการติดเชื้อได้จากการสัมผัสน้ำลายของสัตว์ที่เป็นโรค
ถ้าผิวหนังมีบาดแผล แผลถลอก หรือแม้แต่เยื้อบุตา เยื่อบุช่องปากก็สามารถเป็นทางเข้าของเชื้อโรคได้เช่นกัน
          โรคพิษสุนัขบ้ามีระยะฟักตัวเฉลี่ย 1-3 เดือน สั้นที่สุดประมาน 7 วัน ผู้ที่ป่วยจะเริ่มด้วยอาการปวดแสบปวดร้อน เจ็บแปลบ ชา คัน บริเวณที่ถูกสัตว์กันและบริเวณใกล้เคียง อาจ
มีอาการไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ กระวนกระวาย หรือซึม ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลงขึ้นๆลงๆ มีอาการกลัวน้ำ กลัวการกลืน เนื่องจากมีการหดตัวของกล้ามเนื้อการกลืน
อย่างรุนแรง หลังจากนั้นจะค่อยๆซึมลง ไม่รู้สึกตัว และเสียชีวิตในที่สุด

ผู้ป่วยโรคพิษสุนัขบ้าปี 2502
ภาพจากเว็บไซต์
https://th.wikipedia.org/wiki/โรคพิษสุนัขบ้า
ข้อมูลภาพ ณ วันที่
24-5-59


ถึงแม้ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ แต่เรายังมีวิธีการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าด้วยวิธีดังต่อไปนี้
           ดูแลบาดแผลที่เกิดจากการถูกสัตว์กัดหรือจากการสัมผัสน้ำลายอย่างถูกวิธี จะช่วยลดโอกาสติดเชื้อลงได้มากโดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใน 3 ชั่วโมงหลังจากถูกสัตว์กัด ด้วยการ
ล้างบาดแผลด้วยน้ำและสบู่โดยเร็ว ควรล้างนาน 15-20 นาทีแล้วรีบไปสถานพยาบาล
          ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าโดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาจากความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ซึ่งปัจจัยที่ใช้ในการประเมินคือ
              - ชนิดของสัตว์ที่กัดหรือสัมผัส เพื่อประเมินว่าสัตว์ดังกล่าวจะเป็นพาหะนำโรคพิษสุนัขบ้าได้หรือไม่
              - ลักษณะเหตุการณ์ที่ถูกสัตว์ทำร้าย โดยดูว่าเกิดขึ้นเนื่องจากมีเหตุจูงใจหรือไม่เช่น เป็นสัตว์แม่ลูกอ่อน เกิดจากการเหยียบ แหย่ หรือแกล้งสัตว์ก่อนหรือไม่ เพราะถ้าไม่เหตุ
จูงใจอาจตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนว่าสัตว์ดังกล่าวอาจเป็นโรคพิษสุนัขบ้า
              - ชนิดของการสัมผัสเช่น การกัด ข่วน หรือการสัมผัสน้ำลาย เป็นการประเมินความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ โดยดูจากตำแหน่งของบาดแผล จำนวนบาดแผล ความลึก และผิวหนัง
ที่ถูกน้ำลายมีบาดแผลอยู่เดิมหรือไม่
              - ประวัติการได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าของสัตว์ ถ้าสัตว์ที่กัดอายุมากกว่า 1 ปีและได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าอย่างน้อย 2 ครั้ง หรือสัตว์ที่ได้รับวัคซีนอย่าง
สม่ำเสมอในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาโอกาสที่จะเป็นโรคพิษสุนัขบ้าจะน้อย
              - ประวัติการได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าของผู้ที่ถูกสัตว์กัด ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากบางรายที่เคยได้รับการฉีดมาบ้างแล้วในช่วง 6 เดือนถึง 1 ปีที่ผ่านมา
อาจไม่จำเป็นต้องได้รับวัคซีนครบ 5 เข็ม (โดยปกติ คนที่ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้ามาก่อน เมื่อจำเป็นต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าภายหลังการสัมผัสโรคจะ
ต้องฉีดทั้งหมด 5 ครั้งสำหรับการฉีดแบบเข้ากล้าม และ 4-5 ครั้งสำหรับการฉีดเข้าชั้นผิวหนัง)
           ในรายที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อจะต้องได้รับ สารภูมิต้านโรคพิษสุนัขบ้า (immunoglobulin) ฉีดเข้าบริเวณรอบแผล และฉีดเข้ากล้ามเพื่อให้มีผลป้องกันโรคโดยทันที
การฉีดสารภูมิต้านโรคพิษสุนัขบ้าจะพิจารณาให้เฉพาะในรายที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากสารภูมิต้านโรคพิษสุนัขบ้า ราคาค่อนข้างแพงและมีโอกาสเกิดอาการแพ้ได้
           การดูแลบาดแผล เนื่องจากบาดแผลที่เกิดจากสัตว์กัดมักมีโอกาสติดเชื้อได้สูงจึงไม่นิยมเย็บแผลจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีการติดเชื้อแทรกซ้อน และควรรับประทานยาปฏิชีวนะ
เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
           นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องได้รับวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักควบคู่ไปด้วยในรายที่ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักมาก่อน
           ควรเฝ้าติดตามอาการของสัตว์ที่เราสัมผัสเป็นเวลาอย่างน้อย 10 วัน ซึ่งใช้ได้แต่เฉพาะสุนัขและแมวเท่านั้น โดยสังเกตว่ามีอาการแสดงของโรคพิษสุนัขบ้าหรือไม่ ถ้าครบ
10 วันแล้วสัตว์ยังปกติ ไม่ตาย สามารถหยุดฉีดวัคซีนเข็มที่เหลือได้

ภาพจากเว็บไซต์
http://www.muslim4health.or.th/2014/index.php?op=news-detail&id=340#.V0O9jvl9600
ข้อมูลภาพ ณ วันที่
24-5-59



          จะเห็นได้ว่าการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าทำได้ไม่ยาก ดังนั้นเราจึงควรให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าให้แก่สัตว์เลี้ยงเพื่อไม่ให้เป็นแหล่ง
ของโรค และการรีบเข้ารับการรักษาเมื่อถูกสัตว์กัดโดยเร็ว เพียงเท่านี้เราและคนที่เรารักก็จะห่างไกลจากโรคพิษสุนัขบ้า




เอกสารอ้างอิง
...........................................................................................................................