เด็กขายไม้ขีดไฟ
โดย...นายเกียรติศักดิ์
หงษ์คำ
อาชีพ ข้าราชการพลเรือน
นักวิเคราะห์นโยบายและแผนปฏิบัติการ
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ทำเนียบรัฐบาล เขตดุสิต กรุงเทพฯ
อีเมล์ : tomkhk@hotmail.com
(เนื้อหาและภาพประกอบเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน)
|
จำได้ว่าตอนเด็กๆ เคยอ่านนิทานสัญชาติเดนมาร์กเรื่อง เด็กขายไม้ขีดไฟ
ของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน โดยเนื้อเรื่องได้กล่าวถึงเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งถูกพ่อเลี้ยงบังคับ
ให้เดินขายไม้ขีดไฟ ท่ามกลางความหนาวเย็นในค่ำคืนของวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
เด็กหญิงตะโกนขายไม้ขีดไฟด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อมและน่าสงสาร ไม้ขีดไหมคะ
ไม้ขีด
ไหมคะ ซื้อหน่อย ซีจ๊ะ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาไม่มีแม้แต่จะชายหางตามองเด็กหญิงมอมแมมคนดังกล่าว
ตลอดทั้งวันเด็กหญิงขายไม้ขีดไม่ได้สักกล่อง เธอนั่งลงด้วยท่าทางที่อิดโรย
ไม่มีเงินซื้อข้าว ไม่มีเงินกลับไปให้พ่อเลี้ยงที่บ้าน หากกลับบ้านไปโดยที่ไม้ขีดไฟยังเหลือเหมือนเดิม
เธออาจถูกพ่อเลี้ยงทำร้ายเป็นแน่ เด็กหญิงนั่งน้ำตาไหลรินด้วยความระทม และ
ขณะที่เด็กหญิงกำลังทุกข์ทรมานเนื่องจากความหิวและความเหน็บหนาวอยู่นั้น
เธอก็ได้จุดไม้ขีดไฟเพื่อให้มอบความอุ่นแก่ร่างกาย เมื่อเธอจุดไม้ขีดไฟแต่ละก้าน
เธอก็จะระลึกถึง
ความสุขที่เคยมี ความรักที่เคยได้รับจากแม่และยายที่เสียชีวิตไปแล้ว ไม้ขีดไฟที่เธอจุดแต่ละก้านทำให้เกิดความอบอุ่นที่แม้แสนจะเล็กน้อย
แต่ก็ทำให้เธอมีความสุขเพราะรู้สึก
เหมือนได้อยู่กับแม่และยายอีกครั้ง เธอจุดไม้ขีดไฟก้านแล้วก้านเล่า ในเช้าของวันปีใหม่
ชาวเมืองที่เดินผ่านไปมาต่างก็เศร้าสลดเมื่อได้พบกับร่างอันไร้วิญญาณของเด็กหญิงกับเศษ
ก้านไม้ขีดไฟที่ถูกจุดไปแล้ววางอยู่รายรอบตัวเธอซึ่งเป็นภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก
จำได้ว่าตอนนั้นเมื่ออ่านเรื่องนี้ครั้งใดก็เป็นเหตุให้ต้องเศร้าใจไปทุกครั้ง
ทว่าล่วงผ่านมาจนถึงวันนี้
มุมมองต่อนิทานเรื่องดังกล่าวมีอันตั้งหักมุมไปโดยปริยาย เมื่อมองในบริบทของการบริหารจัดการ
เด็กหญิงคนนี้ถือว่าประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แน่นอนว่าเธอมีเป้าหมายที่ชัด
คือ ต้องการขายไม้ขีดไฟให้หมดเพื่อให้ได้เงิน แต่วิธีการไปสู่เป้าหมายของเธอต่างหากคือคำถามที่น่าสนใจ
!
ภาพจากเว็บไซต์
http://www.baanmaha.com/community/threads/22797หนูน้อยขายไม้ขีดไฟ
ข้อมูลภาพ ณ วันที่
23-6-59
|
|
อันที่จริงความล้มเหลวล้วนมีที่มาจากเหตุและปัจจัยที่แตกต่างกันออกไปตามเทคนิคและรสนิยมการวิเคราะห์ของแต่ละคน
ในกรณีของเด็กหญิงขายไม้ขีดไฟหากมองในบริบท
ของการบริหารจัดการสิ่งที่นำเธอไปสู่ความล้มเหลวและต้องจบชีวิตลงด้วยความน่าเวทนา
นั่นคือการที่เธอ ไม่มีการจัดทำตัวชี้วัด ฟังดูแล้วน่าขบขันพิลึก หรือเธออาจมีตัวชี้วัดแต่เป็น
ตัวชี้วัดที่ไม่ถูกต้อง ทำไมจะต้องจัดทำตัวชี้วัด? และตัวชี้วัดกำหนดอย่างไร
?
ภาพจากเว็บไซต์
http://www.slideshare.net/speedcars/key-performance-indicator-11582069
ข้อมูลภาพ ณ วันที่
23-6-59
|
|
หากพูดกันตามหลักวิชาการ
ตัวชี้วัด หรือ Key Performance Indicators คือเครื่องมือสำคัญในการบริหารงาน
หน่วยงานที่ขาดตัวชี้วัด หรือมีตัวชี้วัดที่ไม่เหมาะสม จะทำให้
ผู้บริหาร ผู้มีอำนาจตัดสินใจ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ทราบข้อเท็จจริงหรือมองไม่เห็นปัญหาต่างๆ
ที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ รวมทั้งขาดการพัฒนาที่ถูกทิศทาง
การปรับ
กลยุทธ์ที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการ และนำไปสู่ความล้มเหลวในท้ายที่สุด
หรือโดยสรุปตัวชี้วัดก็คือหนทางสู่ความสำเร็จนั่นเอง โดยตัวชี้วัดในปัจจุบันจะมีอยู่
2 ประเภท คือ
1. ตัวชี้วัดเชิงปริมาณ
วัดค่าเป็นตัวเลข เช่น จำนวนคน น้ำหนัก ร้อยละ ระยะเวลา งบประมาณ ระดับความพึงพอใจ
ฯลฯ ใช้วัดสิ่งที่สามารถนับได้ วัดได้ เป็นรูปธรรมและมี
ความชัดเจน
2. ตัวชี้วัดเชิงคุณภาพ
วัดในสิ่งที่ไม่ใช่ค่าตัวเลขหรือปริมาณหรือหน่วยวัดใดๆ เช่น คุณภาพชีวิต
ผลการเปลี่ยนแปลง ฯลฯ ซึ่งจะใช้วัดผลกิจกรรมที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ สมรรถนะ
หรือความสามารถ เป็นต้น
ในส่วนของหลักเกณฑ์การจัดทำตัวชี้วัด
มีแนวทางที่น่าสนใจเรียกว่า SMARTER ได้แก่
1. S (Specific)
= เจาะจง คือ จะต้องมีความเฉพาะเจาะจง ตัวชี้วัดควรมีความชัดเจนและมีความหมายมั่งไปยังสิ่งที่วัด
ควรกำหนดตัวชี้วัดให้ชัดเจน ไม่กำกวม เพื่อมิให้เกิด
การตีความผิดพลาดและเพื่อสื่อสารความเข้าใจให้ตรงกันทั่วทั้งองค์กร
2. M (Measurable)
= วัดได้ คือ จะต้องเป็นตัวชี้วัดที่สามารถนำไปวัดผลการปฏิบัติงานได้จริง
ข้อมูลที่ได้จากการวัดสามารถนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลที่ได้จากตัวชี้วัดอื่น
และใช้วิเคราะห์ความหมายทางสถิติได้
3. A (Acceptable/Achievable)
= บรรลุผล คือ เป็นที่ยอมรับร่วมกันและสามารถบรรลุผลสำเร็จได้ องค์กรไม่ควรใช้ตัวชี้วัดผลการดำเนินงานหลักที่องค์กรไม่สามารถควบคุม
ให้เกิดผลสำเร็จได้โดยตรง
4. R (Realistic)
= เป็นจริงได้ คือ มีความสมจริงตัวชี้วัดผลการดำเนินงานหลักมีความเหมาะสมกับองค์กรและไม่ใช้ต้นทุนการวัดที่สูงเกินไป
5. T (Time
Frame) = การดำเนินงานภายใต้กรอบเวลาที่เหมาะสม คือ สามารถใช้วัดผลการปฏิบัติงานได้ภายในเวลาที่กำหนด
ควรปรับปรุงตัวชี้วัดให้ทันสมัยอยู่เสมอ
6. E (Extending)
= ความยืดหยุ่น หรือสามารถปรับหรือขยายการกิจบางอย่างเพื่อความเหมาะสมหรือให้เกิดการคล่องตัวได้
7. R (Rewarding)
= มีความคุ้มค่า
ภาพจากเว็บไซต์
ภาพจากเอกสารบรรยายชี้แจงแปลงแผนจากยุทธศาสตร์
สปน. สู่การปฏิบัติของนายเกียรติศักดิ์ หงษ์คำ
ข้อมูลภาพ
ณ วันที่ 23-6-59
|
|
เมื่อเข้าใจเกณฑ์ในการจัดทำตัวชี้วัดแล้วสิ่งที่ควรคำนึงถึงในลำดับต่อไปเมื่อได้มีการกำหนดหรือเขียนตัวชี้วัดแล้ว
คือการทดสอบตัวชี้วัดว่าจะเป็นตัวชี้วัดที่ดีและสะท้อน
ผลสัมฤทธิ์ของหน่วยงานได้หรือไม่ ภายใต้ข้อคำถามดังนี้
1. ตัวชี้วัดนั้นมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์มากน้อยเพียงใด
2. ตัวชี้วัดนั้นสะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานที่แท้จริงหรือไม่
หรือแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ต้องการจะวัดจริงหรือไม่
3. ความพร้อมของข้อมูล
โดยประเมินว่าภายใต้ตัวชี้วัดแต่ละตัวมีข้อมูลเพียงพอหรือไม่
4. ต้นทุนในการจัดหาข้อมูล
เป็นการประเมินว่าตัวชี้วัดแต่ละตัวมีความคุ้มทุนหรือไม่หากจะหาข้อมูลมาเพื่อการบรรลุตัวชี้วัดนั้นๆ
5. ความถูกต้องของข้อมูล
เป็นการประเมินว่าข้อมูลที่มีอยู่ของตัวชี้วัดแต่ละตัวมีถูกต้องแม่นยำเพียงใด
6. ตัวขี้วัดนั้นสามารถนำไปใช้ในการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับองค์กรหรือหน่วยงานอื่น
หรือกับผลการดำเนินงานในอดีต
ย้อนกลับมาดูในความเป็นจริง
ทุกวันนี้หลายหน่วยงานยังเขียนคงวนเวียนกำหนดตัวชี้วัดในลักษณะป้องกันตัวเองจนเกินไป
กระทั่งไม่เกิดผลดีต่อหน่วยงานแต่อย่างใด กล่าวคือ
กำหนดตัวชี้วัดที่ง่ายต่อการวัดจนเกินไป และมักกำหนดตัวชี้วัดเชิงปริมาณ
ซึ่งมิได้สะท้อนผลสัมฤทธิ์ของหน่วยงานอย่างแท้จริง เช่น การจัดอบรม สัมมนา
หรือการพัฒนาความรู้ต่างๆ
หลายหน่วยงานมักกำหนดตัวชี้วัด คือ ร้อยละของจำนวนของผู้เข้าร่วมการอบรม
ระดับความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมการอบรม เป็นต้น ทั้งนี้จะวัดผลสัมฤทธิ์กันอย่างแท้จริงควรกำหนด
ตัวชี้วัดในลักษณะของเชิงคุณภาพร่วมด้วย เช่น ร้อยละการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เข้ารับการอบรม
ระดับความรู้ความเข้าใจของผู้เข้ารับการอบรม เป็นต้น ในบางครั้งการกำหนด
ตัวชี้วัดที่ยากเกินไปก็อาจไม่ส่งผลดีต่อองค์กรเสมอไป เพราะการกำหนดตัวชี้วัดไม่ได้อยู่ที่วิธีการว่าง่ายหรือยาก
แต่อยู่ที่ว่าเป็นตัวชี้วัดที่ถูกต้องหรือไม่ วัดความสำเร็จได้จริงหรือไม่
หลายท่านอาจมีคำตอบอยู่แล้วในใจหากแต่ยังไม่มีความกล้าพอที่จะกำหนดออกมาเป็นตัวชี้วัด
แต่ถ้าหากเราคำนึงถึงเป้าหมายของหน่วยงาน มองเห็นผลประโยชน์ต่อหน่วยงานและ
ส่วนรวม การกำหนดตัวชี้วัดก็ควรกำหนดให้มันสามารถทำหน้าที่ได้อย่างแท้จริง
และไม่ควรมองตัวชี้วัดว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายไร้ประโยชน์ เพียงเพราะเรายังไม่เปิดให้โอกาส
หรือ
ไม่กล้าให้ตัวชี้วัดได้ทำหน้าที่อย่างแท้จริงเลย ท้ายที่สุดนี้หากหน่วยงานใดยังคงละเลยหรือไม่ให้ความสำคัญกับตัวชี้วัด
เป็นไปได้ว่าอนาคตของหน่วยงานคงไม่ต่างอะไรไปจากตอนจบ
ของนิทานเรื่อง เด็กขายไม้ขีดไฟ
เอกสารอ้างอิง
...........................................................................................................................
เกียรติศักดิ์ หงษ์คำ. (2558). เอกสารประกอบการบรรยาย
ชี้แจงแปลงแผน : จากยุทธศาสตร์ สปน. สู่การ ปฏิบัติ.
วรรณา ทองเจริญศิริกุล. (2552). เอกสารประกอบการบรรยาย เทคนิคการจัดทำโครงการอัจฉริยะ
สำนัก นโยบายอุตสาหกรรมมหภาค.
จากเว็บไซด์
https://www.baanmaha.com/community/threads/22797หนูน้อยขายไม้ขีดไฟ
|