พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ บุคคลสำคัญของโลก ปีพุทธศักราช ๒๕๕๖

โดย...คุณชินาทร  กายสันเทียะ
ประธานชมรมยุวชนมัคคุเทศก์พิพิธภัณฑ์ สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครราชสีมา
ต.โพธิ์กลาง อ.เมือง จ.นครราชสีมา
อีเมล์ : rachachinakawin@gmail.com

(เนื้อหาและภาพประกอบเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน)



พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเครื่องบรมขัตติย ราชภูษิตาภรณ์ ฉลองพระมาลาเส้าสูง
ตามขัตติยโบราณราชประเพณี

          เนื่องในโอกาสที่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้มีมติให้ประกาศราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติคุณยกย่องให้พระบาท
สมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ในฐานะที่ทรงมีผลงานดีเด่นด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม สังคมศาสตร์
และสื่อสารมวลชน ปี พุทธศักราช ๒๕๕๖ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสครบ ๑๐๐ ปี ในการประกอบพระราชกรณียกิจในประเทศไทย หลังจากเสด็จ ฯ กลับจาก
การศึกษาณ ประเทศอังกฤษ ๒๐ เมษายน ๒๔๕๗ และเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสครบ ๑๐ รอบ ปีนักษัตร พระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ๘
พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวาระที่ปวงชนชาวไทยจะได้น้อมรำลึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงบำเพ็ญต่อชาติต่อประชาชนเป็นอเนกประการ
          พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๗ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
กับสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ เสด็จพระบรมราชสมภพเมื่อวันพุธ แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๖ ณ พระที่นั่งสุทธาศรีภิรมย์
หมู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระบรมราชชนกนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม พระราชทานพระนามเมื่อการพระราชพิธีสมโภช
เดือนและขึ้นพระอู่ ว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ ฯ และมีสมเด็จพระเชษฐาและสมเด็จพระเชษฐภคินีร่วมพระครรโภธรสมเด็จพระศรีพัชรินทรา
บรมราชินีนาถ ๗ พระองค์ ได้แก่
          ๑. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าพาหุรัดมณีมัย กรมพระเทพนารีรัตน์
          ๒. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖
          ๓. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าตรีเพชรุตม์ธำรง
          ๔. สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
          ๕. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์
          ๖. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา
          ๗. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย

         
เมื่อเจริญพระชนม์ครบกำหนดที่จะตั้งการพระราชพิธีโสกันต์และเฉลิมพระนามในพระสุพรรณบัฏตามขัตติยราชประเพณีแล้ว ในการนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัด
พร้อมกันนี้พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอุรุพงษ์รัชสมโภช ที่มีพระชันษาครบกำหนดโสกันต์เช่นกัน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ
ให้จัดการพระราชพิธีโสกันต์และเฉลิมพระนามของทั้งสองพระองค์ขึ้นพร้อมกันบริเวณพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๘ โดย
ทรงรับการสถาปนาลิมพระอิสริยยศเป็นเจ้าฟ้าต่างกรมที่ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนศุโขไทยธรรมราชา มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "สมเด็จพระเจ้า
ลูกยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ ชเนศรมหาราชาธิราช จุฬาลงกรณ์นารถวโรรส อุดมยศอุกฤษฐศักดิ์ อุภัยปักษนาวิล อสัมภินชาติพิสุทธ์ มหามงกุฎราชพงษ์บริพัตร บรม
ขัตติยมหารัชฎาภิสิญจน์พรรโษทัย มงคลสมัยสมากร สถาวรวรัจฉริยคุณ อดุลยราชกุมาร กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา”
          เมื่อเจริญพระชนมพรรษาได้พอสมควร ทรงเข้ารับการศึกษาตามประเพณีขัตติยราชกุมาร และจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้เป็นนักเรียนนายร้อยพิเศษ ต่อมา ครั้น
ทรงเข้าพระราชพิธีโสกันต์แล้ว ได้เสด็จไปทรงศึกษา ณ สหราชอาณาจักร ในกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ ในขณะนั้นมีพระชนมายุได้ ๑๓ พรรษา ทรงเริ่มรับการศึกษาในวิชาสามัญ
ในวิทยาลัยอีตัน กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมชั้นหนึ่งของสหราชอาณาจักร เมื่อสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยอีตันแล้ว ทรงสอบเข้าศึกษาต่อในการศึกษาวิชาทหาร ณ
Royal Military Academy Council เมืองวูลิช ทรงเลือกศึกษาวิชาทหารแผนกทหารปืนใหญ่ม้า แต่ในขณะนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต ในปี
พ.ศ. ๒๔๕๓ จึงได้เสด็จกลับประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ และได้ฉลองพระเดชพระคุณถวายงานสมเด็จพระบรมชนกนาถในวาระสุดท้าย
ด้วยการประคองพระบรมโกศคู่กับสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ขณะอัญเชิญพระบรมศพเวียนพระเมรุมาศ หลังจากนั้นจึงเสด็จกลับไปศึกษาต่อ
เมื่อสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๔๕๖ ภายหลังทรงเข้าประจำการ ณ กรมทหารปืนใหญ่ม้าอังกฤษ ณ เมืองอัลเดอร์ช้อต ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๖ ถึงเดือนกันยายน
พ.ศ. ๒๔๕๗ ซึ่งเป็นช่วงเวลาการซ้อมรบ โดยรัฐบาลอังกฤษตามความเห็นชอบของที่ประชุมกองทหาร (Army Council) และได้รับอนุญาตให้ทรงเครื่องแบบนายทหารอังกฤษ
สังกัดใน “L” Battery Royal Horse Artillery ทรงได้รับสัญญาบัตรเป็นนายทหารยศร้อยตรีกิตติศักดิ์แห่งกองทัพอังกฤษ และในกาลที่พระองค์สำเร็จการศึกษาจากสถานที่นี้
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ดำรงตำแหน่งพระยศนายร้อยตรีนอกกอง สังกัดกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ต่อมาได้
เลื่อนขึ้นเป็นนายร้อยโทและนายทหารนอกกอง สังกัดกรมทหารปืนใหญ่รักษาพระองค์
          ในปี พ.ศ. ๒๔๕๗ ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ขึ้นในยุโรป ครั้นสงครามได้ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมาก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ เสด็จกลับประเทศไทย และเสด็จกลับประเทศไทยแล้ว ต่อมาในปี พ. ศ. ๒๔๖๐ ได้ทรงผนวชและจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อทรงศึกษาพระธรรมวินัยและรับใช้
บวรพุทธศาสนา จากนั้นทรงลาผนวช


พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี

          เมื่อทรงลาผนวชและทรงเข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ประกอบพระราชพิธีอภิเษก
สมรสพระราชทาน แก่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี (หม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี สวัสดิวัตน์) ขึ้น ณ พระที่นั่งวโรภาษ
พิมาน พระราชวังบางปะอิน เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ และเนื่องจากไม่มีพระราชโอรสและพระราชธิดา ภายหลังจึงทรงรับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต
พระโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นพระราชโอรสบุญธรรม ทั้งยังพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราช
ทานสร้อยพระปรมาภิไธย ให้ใช้เป็นราชสกุล ศักดิเดชน์ อีกด้วย
          เมื่อครั้นยังดำรงพระอิสริยศที่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา ทรงปฏิบัติราชการโดยพระวิริยะอุตสาหะ ปรากฏพระเกียรติคุณและสติปัญญา
จนสามารถรับราชการสำคัญสนองพระเดชพระคุณต่างพระเนตรพระกรรณพระบรมเชษฐาธิราชได้มิได้ขาดตกบกพร่องทั้งยังทรงปฏิบัติสนองพระเดชพระคุณได้เป็นอย่างดี ภาย
หลังที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ เจ้านายพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ และคณะเสนาบดี ได้ประชุมมีมติเห็นชอบเป็น
เอกฉันท์ ให้อัญเชิญสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบต่อพระบรมเชษฐาธิราช และทรงรับพระบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์
พ.ศ. ๒๔๖๙ โดยเฉลิมพระปรมาภิโธยว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกฯ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในการนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ สถาปนาหม่อมเจ้า
รำไพพรรณี พระวรชายา ขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ซึ่งนับเป็นสมเด็จพระอัครมเหสีพระองค์แรกที่ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชินีใน
การพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
          พระราชกรณียกิจที่สำคัญนานัปการที่ทรงพระราชบำเพ็ญเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง ในด้านต่างๆ ด้านการปกครอง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งสภาต่างๆเพื่อปฏิบัติ
หน้าที่เป็นคณะที่ปรึกษาราชการแผ่นดินขึ้น ๓ คณะ ประกอบด้วย อภิรัฐมนตรีสภา เสนาบดีสภา และ สภากรรมการองคมนตรี ทรงตรากฎหมายเพื่อควบคุมการค้าขายที่เป็น
สาธารณูปโภคและการเงิน ระบบเทศบาล ในด้านการศาสนา การศึกษา ประเพณีและวัฒนธรรมนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้แยกหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครออก
เป็น ๒ หอ คือ หอพระสมุดวชิราวุธ ตั้งอยู่ที่ตึกถาวรวัตถุเช่นเดิมให้เป็นที่เก็บหนังสือฉบับพิมพ์และ หอพระสมุดวชิรญาณ ให้ใช้เป็นที่เก็บหนังสือตัวเขียนและตู้พระธรรม ทรง
ปฏิรูปการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ มีการปรับปรุงการศึกษาจนยกระดับมาตรฐานถึงปริญญาตรี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งราชบัณฑิตยสภา อีกทั้งให้มีจัดพิมพ์
พระไตรปิฎกสยามรัฐ ซึ่งเป็นฉบับพิมพ์อักษรไทยสมบูรณ์
          ต่อมาได้เกิดเหตุการณ์การปฏิวัติสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยคณะราษฎร ได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ด้วยพระราชดำริที่มี
พระราชประสงค์ที่จะทรงให้สยามในขณะนั้นเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว กอปรกับไม่ทรงต้องการให้สถานการณ์ขัดแย้งบานปลายและไม่เกิดการ
สูญเสียขึ้นในชาติ จึงทรงยอมรับเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบการประชาธิปไตยของไทยพระองค์แรก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญถาวร ฉบับแรกของไทย เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕


พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี
เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเยือนทวีปยุโรป

          หลังจากเหตุการณ์การปฏิวัติสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศ
ในแถบยุโรป พร้อมทั้งเสด็จ ฯ ประทับ ณ สหราชอาณาจักร เพื่อทรงเข้ารับการถวายการผ่าตัดและรักษาพระเนตร และต่อมาทรงตัดสินพระราชหฤทัยประกาศสละราชสมบัติ
เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ หลังจากทรงครองสิริราชสมบัติเป็นระยะเวลาเวลา ๙ ปี ๓ เดือน ๔ วัน และตัดสินพระราชหฤทัยประทับ ณ สหราชอาณาจักร จนกระทั่งเสด็จ
สวรรคต เมื่อวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ด้วยพระอาการพระหทัยวายฉับพลัน ณ พระตำหนักคอมพ์ตัน เฮาส์ (Compton House) ขณะมีพระชนมพรรษาได้ ๔๘ พรรษา
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ทรงจัดการถวายพระเพลิงพระบรมศพเป็นการส่วนพระองค์อย่างเรียบง่าย ณ สุสานโกลเดอร์ส กรีน (Golders Green) สหราช
อาณาจักร ซึ่งต้องทรงนิราศจากแผ่นดินพระบรมราชสมภพไปเสด็จสวรรคตถึงยังต่างแดน
          ด้วยหิตานุหิตประโยชน์ที่ทรงบำเพ็ญต่อชาติต่อประชาชนเป็นอเนกประการ ประกอบกับพระราชกุศลที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญ จงอำนวยให้ทรง
ประสบอิทธิคุณมนูญผล เสวยสุขด้วยทิพยสมบัติในสัมปรายภพ จงทุกประการเทอญ



เอกสารอ้างอิง
...........................................................................................................................

๑. จุลจักรพงษ์, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า. เกิดวังปารุสก์ ฉบับสมบูรณ์ : สมัยบูรณาญาสิทธิ
ราชย์และสมัยประชาธิปไตย. พิมพ์ครั้งที่ ๑๒. กรุงเทพฯ : ริเวอร์ บุ๊คส์, ๒๕๔๗.
๒. ประกาศอักษรกิจ (เสงี่ยม รามนันทน์), พระยา. จดหมายเหตุบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จ
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พุทธศักราช ๒๔๖๘. กรุงเทพฯ : ม.ป.ท. , ๒๔๙๒ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ จัดพิมพ์เป็นที่ระลึกในการเชิญพระบรมอัฐิเสด็จคืนเข้าสู่
พระนคร พุทธศักราช ๒๔๙๒
๓. มณี สิริวรสาร, คุณหญิง. ชีวิตเหมือนฝัน. กรุงเทพฯ : แพรว , ๒๕๔๔.