ความเชื่อเกี่ยวกับข้อปฏิบัติและข้อห้ามในช่วงตั้งครรภ์
ของสตรีไทดำประเทศไทย

โดย...ดร.กานต์ทิตา  สีหมากสุก
อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี
อีเมล์ : kanthitalove@gmail.com

(เนื้อหาและภาพประกอบเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน)


          ความความเชื่อ เป็นวิถีแห่งปัญญาที่มนุษย์สืบสานและปฏิบัติ เป็นกุศโลบายในการรวมชุมชนให้เกิดชีวะวิถีดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน ความเชื่อจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำ
ให้มีค่านิยมเกิดขึ้นในสังคม และเป็นฐานรากสำคัญในการหลอมรวมความคิด ความรู้สึกของทุกคนให้พร้อมในการสร้างสรรค์ความสุขสงบให้เกิดแก่กลุ่มของชน
          ไทดำ เป็นกลุ่มชนที่มีถิ่นฐานอาศัยอยู่ในเขตสิบสองจุไท (บริเวณตอนเหนือของประเทศเวียดนามในปัจจุบัน) แต่ในสมัยธนบุรีจนถึงสมัยรันตนโกสินทร์ ช่วงรัชกาลที่ 1
ถึงช่วงรัชกาลที่ 5 ชนไทดำส่วนหนึ่งได้ถูกกวาดต้อนให้เข้ามาอยู่ในประเทศไทย จากเหตุผลทางด้านการเมืองและสงคราม ปัจจุบันจึงมีลูกหลานของชนไทดำกลุ่มนั้น กระจาย
ตั้งหลักแหล่งอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย เช่น จังหวัดเพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี และสุพรรณบุรี เป็นต้น
          ไทดำรุ่นใหม่ในประเทศไทย ยังคงสืบทอดความเชื่อดั้งเดิมของกลุ่มชนในวิถีการดำเนินชีวิต ตั้งแต่วัยเด็ก วัยผู้ใหญ่ จนกระทั่งชราภาพและเสียชีวิตลง โดยเฉพาะความ
เชื่อในช่วงวัยผู้ใหญ่หลังแต่งงานแล้ว การมีบุตรเป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ชีวิตครอบครัวมีความสมบูรณ์ บุตรจะเติบโตเป็นไทดำรุ่นใหม่ สืบทอดความเชื่อให้กลุ่มชน
ดำรงอยู่ต่อไป
          เหตุนี้สตรีที่แต่งงานแล้ว เมื่อทราบว่าตนกำลังตั้งครรภ์ แม้ยังคงปฏิบัติภารกิจประจำวันและทำงานตามปกติ ก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังตนเองให้มากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้
ภาวะจิตใจของสตรีตั้งครรภ์บางคนมีความกังวลไปในทางที่ไม่ค่อยดี เนื่องจากความกลัวในเรื่องต่างๆ เช่น กลัวผีไม่ดีจะมารบกวนให้ตนเสียชีวิต หรือทำให้บุตรในครรภ์แท้ง
ก่อนเกิด ไม่ก็เกิดมาแล้วตาย
          ความกลัวที่ส่งผลให้สภาพจิตใจของสตรีไทดำที่กำลังตั้งครรภ์เป็นกังวล สามารถบรรเทาลงได้ หากปฏิบัติตามความเชื่อดั้งเดิมเกี่ยวกับข้อปฏิบัติและข้อห้ามต่างๆ เพื่อ
สตรีจะได้คลายความกังวล พร้อมปกป้องตนเองและลูกในท้องให้ปลอดภัย ซึ่งคนในรุ่นปู่ย่าจะมีผู้รู้หรือผู้มีประสบการณ์ในการทำคลอดที่เป็นคนในหมู่ญาติเดียวกัน เป็นผู้แนะนำ
การดูแลและปฏิบัติตนในขณะตั้งครรภ์ให้กับสตรี ซึ่งในที่นี้จะยกความเชื่อบางส่วนจากการสัมภาษณ์สตรีไทดำในเขตตำบลหนองปรง จังหวัดเพชรบุรี ที่มีอายุ 80 ปี ขึ้นไป
มากล่าว ดังนี้
          1. ความเชื่อเกี่ยวกับความฝัน เชื่อว่าสตรีตั้งครรภ์อาจมีการฝันแปลกๆ ที่เป็นลางบอกเหตุได้ทั้งดีและร้าย เช่น ถ้าฝันว่าได้แหวนหรือฝันว่าได้พระอาทิตย์ เชื่อว่าทารกที่มา
เกิดจะเป็นเพศชาย ถ้าฝันว่าได้แก้ว เชื่อว่าทารกที่มาเกิดจะเป็นเพศหญิง เป็นต้น
          2. ความเชื่อเกี่ยวกับอาหารของสตรีตั้งครรภ์ เชื่อว่าอาหารบางชนิดเป็นพิษ เช่น อาหารที่มีรสเผ็ด เมื่อรับประทานเข้าไปจะทำให้เด็กในท้องเกิดอาการร้อนและอาจทำให้
เด็กเสียชีวิตได้ จึงห้ามสตรีตั้งครรภ์รับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดมาก
          3. ความเชื่อเกี่ยวกับผีเรือน (ผีบรรพบุรุษ) เชื่อว่าเมื่อสตรีจะคลอดบุตร (ในอดีตจะนิยมคลอดบุตรที่เรือนของตนเอง) บรรดาญาติๆ ต้องเข้าไปบอกกล่าวผีเรือนที่กะล่อห่อง
ให้ทราบก่อน (กะล่อห่อง คือ มุมห้องในจุดที่เชื่อว่าเป็นที่สถิตของผีเรือน ลูกหลานไทดำจึงแสดงความเคารพด้วยการจัดสำรับหมากพลูไว้บูชา)
          4. ความเชื่อเกี่ยวกับโชคลาง เชื่อว่าเมื่อเด็กคลอดออกมาแล้ว หากเอารกเด็กใส่กระบอกไม้ไผ่ฝังไว้ลึกๆ ตรงชายคาน้ำไหล จะทำให้เด็กโตขึ้นมาเป็นคนฉลาด (ปัจจุบัน
สตรีไทดำ นิยมไปคลอดบุตรที่โรงพยาบาล จึงทำให้การปฏิบัติตามความเชื่อเกี่ยวกับการฝังรกเด็กไม่ค่อยปรากฏแล้ว)
          5. ความเชื่อเกี่ยวกับเครื่องรางของขลัง เชื่อว่าของขลังบางชนิดจะช่วยป้องกันอันตรายให้กับบุตรที่คลอดออกมาแล้วได้ เช่น กระเป๋าผ้าที่เย็บเป็นถุงผ้าเล็กๆ สำหรับใส่
สะดือแห้ง เชื่อว่าจะเป็นเครื่องรางช่วยคุ้มครองตัวเจ้าของสะดือ

ภาพ กะล่อห่อง
ที่มา ดร.กานต์ทิตา สีหมากสุก ผู้ถ่ายภาพ

ข้อมูลภาพ ณ วันที่
22-2-59

          นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อในเรื่องข้อห้าม ซึ่งเป็นคำสอนเกี่ยวกับสตรีมีครรภ์ จากการสัมภาษณ์สตรีไทดำ ในเขตตำบลหนองปรง จังหวัดเพชรบุรี ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปี
ขึ้นไป ดังนี้
          1. ห้ามข้ามคราด ห้ามข้ามเชือกม้า เชือกวัว เชือกควาย เพราะเชื่อว่าข้ามแล้วบุตรจะอยู่ในครรภ์เกินกำหนดหรือคลอดยาก ซึ่งเรื่องนี้หากอธิบายในเชิงเหตุผล ก็เพื่อเป็น
การเตือนให้สตรีมีครรภ์ได้มีความระมัดระวังในการเดิน ป้องกันไม่ให้เดินสะดุดสิ่งเหล่านี้ เพราะหากสะดุดหกล้มจะเป็นอันตรายได้ทั้งแม่และบุตรในครรภ์
          2. ห้ามข้ามแม่เตาไฟ เชื่อว่าหากข้ามแล้วจะทำให้เดือดร้อน ทั้งนี้ก็เพราะเป็นการสอนโดยการห้าม เพื่อต้องการให้คนมีความสำรวม เนื่องจากการข้ามเตาไฟสำหรับทำ
อาหาร จึงไม่เป็นการเหมาะสม อีกทั้งการข้ามเตาทำอาหาร อาจจะเตะถูกข้าวของบนเตาหรือเตาอาจร้อนอยู่ จะเกิดอันตรายได้
          3. ห้ามมองดูจันทรคราส เพราะเชื่อกันว่าลูกที่เกิดมาจะตาเหล่ ทั้งนี้มีคำอธิบายไว้ว่า ในอดีตไม่มีไฟฟ้าใช้ เวลากลางคืนมืดมองอะไรไม่ค่อยชัดเจน เมื่อหญิงมีครรภ์
ออกมาดูดวงจันทร์ อาจจะได้รับอันตรายจากสัตว์ร้ายหรือมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ แต่หากจะดูดวงจันทร์ให้ได้ ต้องเอาเข็มกลัดมากลัดไว้ที่ชายพกหรือหัวซิ่น เพื่อเป็นการแก้เคล็ด
          4. ห้ามนำไม้ขัดเกล้ามาเสียบมวยผม เชื่อว่าไม้ขัดเกล้าจะไปทิ่มตัวเด็ก (ไม้ขัดเกล้า คือ เครื่องประดับผม ทำมาจากแร่เงิน รีดให้เป็นเส้น มีปลายแหลม) ดังคำอธิบายความเชื่อนี้ว่า เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้สตรีมีครรภ์ได้ทำอะไรที่จะเป็นการเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายกับตัวเองได้ เพราะไม้ขัดเกล้า มีความแหลมคม เมื่อนำไปเสียบผมอาจจะทิ่มแทงศีรษะให้ได้บาดแผลเลือดออก ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อร่างกายของสตรีมีครรภ์ อีกทั้งยังเชื่อว่าเพื่อเป็นการเอาเคล็ดคำว่า ถอด จะได้คลอดง่าย เช่นเดียวกับความเชื่อที่ว่า ก่อนจะคลอดบุตรให้ถอดสายสร้อย ถอดสลักกลอนประตูหน้าต่าง รวมทั้งสิ่งของอะไรที่มีสลักอยู่ ต้องถอดออกให้หมด
          5. ห้ามอาบน้ำในเวลามืดค่ำ เชื่อว่าจะคลอดลูกยาก ทั้งนี้เพราะในอดีตไม่มีห้องน้ำ หากจะอาบน้ำต้องเดินไปอาบในแม่น้ำหรือลำคลอง ซึ่งในระหว่างทางเดินมืดๆ อาจถูกสัตว์มีพิษกัด หรือในขณะอาบน้ำอาจพลัดตกน้ำจมน้ำหายไปโดยที่ไม่มีใครรู้
          6. ห้ามสระผมหลังจากพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว หรือการห้ามสระผมในเวลากลางคืน เชื่อว่าขวัญจะตกใจและหนีออกจากร่างกายได้ ดังคำอธิบายด้วยเหตุผลว่า เมื่อพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วอากาศเย็นมาก สตรีมีครรภ์อาจจะเป็นไข้ไม่สบายและส่งผลถึงบุตรในครรภ์ได้
           7. ห้ามหญิงครรภ์ไปงานศพ ถือว่าไม่ดี เนื่องจากในงานศพจะมีบรรยากาศที่เศร้าสลด จึงไม่ต้องการให้คนมีครรภ์ได้เจอกับบรรยากาศอันน่าสลดนี้
           8. ห้ามนั่งคาบันไดและห้ามนอนขวางประตูหรือบันไดบ้าน เชื่อว่าจะทำให้คลอดลูกยาก เนื่องจากไทดำเชื่อว่า บันไดและประตู มีผีบันไดและผีประตู คอยดูแลรักษาอยู่ จึงไม่ควรนั่งขวางไว้ เป็นการไม่สมควร ดังคำอธิบายด้วยเหตุผลที่ว่า บันไดไม่ใช่สถานที่สำหรับนั่ง เป็นที่สำหรับคนขึ้นลง จึงเป็นการนั่งที่ไม่สุภาพและไม่เหมาะสม ทั้งยังอาจทำให้พลัดตกบันไดลงมาบาดเจ็บได้
           9. ห้ามเหยียบธรณีประตู เนื่องจากไทดำเชื่อว่า ที่ประตูมีผีประตูดูแลรักษาอยู่ การเหยียบธรณีประตูจึงเท่ากับเป็นการลบหลู่ผีประตู ดังคำอธิบายในเชิงเหตุผลที่ว่า ขอบประตูนั้นสูงกว่าพื้น หากเดินไม่ระวัง เท้าอาจสะดุด ทำให้หกล้มได้รับบาดเจ็บ ความเชื่อนี้จึงเป็นการเตือนให้คนมีความสำรวมระมัดระวังในการเดิน จะได้ไม่สะดุดธรณีประตูหกล้ม หรือหากเหยียบธรณีประตูก็อาจลื่นล้มได้ง่าย จึงให้เดินข้ามไป
          นอกจากความเชื่อที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีข้อปฏิบัติและข้อห้ามอื่นๆ ที่สะท้อนความเชื่อดั้งเดิมของไทดำในเขตตำบลหนองปรง จังหวัดเพชรบุรี ที่บรรพบุรุษได้หาวิธีป้องกันอันตรายต่างๆ ให้ผ่านพ้นไป เพื่อความปลอดภัยในช่วงระยะเสี่ยงอันตราย กระทั่งจนถึงช่วงครบกำหนดคลอด ของสตรีมีครรภ์และบุตรที่อยู่ในครรภ์
          สรุป ความเชื่อเกี่ยวกับข้อปฏิบัติและข้อห้ามในช่วงตั้งครรภ์ของสตรีไทดำประเทศไทย โดยเฉพาะในเขตตำบลหนองปรง จังหวัดเพชรบุรี จึงไม่ใช่เป็นเพียงการปฏิบัติที่สืบทอดทำตามๆ กันต่อมาอย่างงมงายหรือไร้สาระ หากแต่การปฏิบัติตามความเชื่อดั้งเดิม ล้วนมีนัยยะเป็นกุศโลบายอันมีเหตุผล เป็นองค์ความรู้ที่แฝงอยู่ในความเชื่อ ซึ่งหากปฏิบัติตามแล้วจะสามารถช่วยเหลือด้านจิตใจและความปลอดภัยทางร่างกายของสตรีตั้งครรภ์และบุตรในครรภ์ ให้มีความสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ บุตรจะได้คลอดออกมาอย่างง่ายดายและปลอดภัย เป็นทารกที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของสังคมสืบไป

ภาพ ไม้ขัดเกล้า
ที่มา ดร.กานต์ทิตา สีหมากสุก ผู้ถ่ายภาพ

ข้อมูลภาพ ณ วันที่ 22-2-59

 


เอกสารอ้างอิง
...........................................................................................................................

ขวัญเมือง ชื่นฤทัย (สัมภาษณ์, 2 มิถุนายน 2555)
ปิ่น พันเชื้อ (สัมภาษณ์, 3 มีนาคม 2555)
พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี แผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช)
           ฉบับหมอบรัดเล. พิมพ์ครั้งที่ 3. (2551). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์โฆสิต.
สุมิตร ปิติพัฒน์. (2545). ศาสนาและความเชื่อไทดำในสิบสองจุไท สาธารณรัฐสังคมนิยม
           เวียดนาม. กรุงเทพฯ : สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
สำรวย จันทร์ผ่อง (สัมภาษณ์, 8 มิถุนายน 2557)
อภิญวัฒน์ โพธิ์สาน. (2552). สารัตถะคติความเชื่อและพิธีกรรมลาวโซ่ง. มหาสารคาม : หจก.
          อภิชาติการพิมพ์.
อ้น เผ่าพงศ์ (สัมภาษณ์, 18 กรกฎาคม 2557)