รอบรู้โรค : ปวดหัวแบบไหน
บ่งบอกถึงอันตรายและโรคร้ายแรง

โดย... คุณกุลชัญญา   สุวรรณวงศ์
อาชีพ แพทย์
แขวงพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ
อีเมล์ : kacakra@gmail.com

(เนื้อหาและภาพประกอบเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน)


          อาการปวดหัวเป็นอาการที่พบได้บ่อยในภาวะปกติของบุคคลทั่วไป กว่าครึ่งของบุคคลที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปเคยมีอาการปวดหัวอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต และมากกว่า 90 %
ของผู้ป่วยที่ไปพบแพทย์ด้วยอาการปวดศีรษะไม่ได้มีสาเหตุจากโรคร้ายแรงหรือเป็นอันตราย อย่างไรก็ตาม แม้อาการปวดหัวจะเป็นอาการที่พบได้บ่อยและมักจะสัมพันธ์กับความ
เครียด หรือ ความเจ็บป่วยอื่น เช่น เป็นไข้หวัด โดยไม่ได้มีสาเหตุอันตรายใดๆแฝง ทว่าส่วนน้อยของผู้ที่มีอาการปวดหัวอาจบ่งบอกถึงบางโรคที่อันตรายถึงชีวิต

คำถามก็คืออาการปวดหัวแบบไหนที่อาจบ่งบอกถึงโรคร้ายแรงเหล่านั้น

          คำตอบแรกก็คือความรุนแรงและความเฉียบพลันของอาการปวดหัว อาการปวดหัวที่เกิดขึ้นทันทีทันใดและมีความรุนแรงมาก อาจบ่งชี้ถึงสาเหตุจากหลอดเลือดในสมอง
แตก เลือดออกในสมองหรือชั้นเยื่อหุ้มของสมอง โดยความรุนแรงของอาการปวดหัวแบบนี้นั้นจะรบกวนและจำกัดการประกอบกิจวัตรเป็นประจำเป็นอย่างมาก ซึ่งอาจต้องแยก
กับอาการปวดหัวรุนแรงจากโรคไม่รุนแรง เช่น ปวดศีรษะจากโรคไมเกรน หรืออาการปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ ที่ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดศีรษะอย่างมาก ปวดจนนอนไม่หลับ
หรือปวดจนต้องตื่นขึ้นมากลางดึก ไม่สามารถทำงานได้ เช่นกัน แต่ความรุนแรงของอาการปวดศีรษะจากหลอดเลือดในสมองแตก หรือเลือดออกในสมองนั้น จะเป็นมากกว่ามาก
ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยที่อาการปวดหัวแบบไมเกรนจะมีอาการปวดหัวจนไม่สามารถทำงานได้แต่สามารถแต่งตัว เปลี่ยนชุด เพื่อมาพบแพทย์ได้ ในขณะที่ผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดออกใน
สมองหรือเยื่อหุ้มสมองนั้น มักจะปวดจนไม่สามารถมาพบแพทย์ได้เอง ต้องให้ญาตินำตัวมา และอาจยังอยู่ในชุดนอนขณะมาโรงพยาบาล

ตัวอย่างภาพถ่ายเอ็กซเรย์คมพิวเตอร์ (CT SCAN) แสดงลักษณะของเลือดออกในเนื้อสมอง
ภาพจาก Web Site
http://radiopaedia.org/articles/intracranial-haemorrhage

ข้อมูลภาพ ณ วันที่
31-3-59

          คำตอบต่อมาก็คือระยะเวลาการดำเนินโรคของอาการปวดศีรษะ หากอาการปวดศีรษะเป็นๆหายๆ โดยมีช่วงระยะเวลาที่อาการปวดศีรษะหายสนิท มักจะบ่งถึงโรคที่มีสาเหตุ
ไม่ร้ายแรง เช่น อาการปวดหัวแบบไมเกรน หรืออาการปวดหัวจากความเครียด ในขณะที่อาการปวดหัวเป็นตลอดเวลาและมากขึ้นเรื่อยๆในทุกๆวัน อาจกำลังบ่งบอกถึงสาเหตุที่
เป็นอันตราย เช่น เนื้องอกในสมอง เป็นต้น ช่วงเวลาที่มีอาการปวดหัวก็อาจช่วยในการจำแนกโรคเช่นกัน โดยอาการปวดศีรษะที่เป็นมากในช่วงเย็นหรือก่อนนอนมักจะบ่งบอกถึง
สาเหตุจากความเครียด หรืออาการปวดศีรษะชนิด tension ในขณะที่หากอาการปวดศีรษะเป็นมากในช่วงเช้า หรือเช้ามืด อาจบ่งบอกถึงสาเหตุจากความดันในกะโหลกศีรษะที่
เพิ่มขึ้น ซึ่งสัมพันธ์ กับการมีเนื้องอก หรือการติดเชื้อในสมอง

ตัวอย่างภาพถ่ายคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) แสดงเนื้องอกของเยื่อหุ้มสมอง (meningioma) ซึ่งพบเป็นเนื้องอกที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้บ่อย
ภาพจาก Web Site
http://www-sop.inria.fr/asclepios/projects/Health-e-Child/DiseaseModels/content/brain/images/images_TumorGrowth5/scan2_full_kucuk.png
ข้อมูลภาพ ณ วันที่
31-3-59

          และอีกหนึ่งคำตอบก็คืออาการปวดหัวที่พบร่วมกับความผิดปกติของระบบประสาทมักจะบ่งบอกถึงสาเหตุที่ไม่ปกติของสมอง โดยความผิดปกตินี้ผู้ป่วยอาจรู้สึกได้เอง หรือ
แพทย์เป็นผู้ตรวจพบก็ได้ ตัวอย่างของความผิดปกติที่ผู้ป่วยหรือญาติสามารถรู้สึกได้เอง ก็เช่น อาการปวดศีรษะที่เกิดร่วมกับแขนหรือขาอ่อนแรง เดินเซ หน้าเบี้ยว มีอาการชา
หรือไม่มีความรู้สึกต่อการสัมผัส ความร้อน เย็น ตามัว มองภาพไม่ชัด ความจำและการตัดสินใจแย่ลง ชัก หรือในบางรายก็อาจแสดงออกด้วยอาการทางจิตเวช เช่น เป็นบ้า ได้เช่นกัน
ส่วนอาการแสดงที่แพทย์อาจตรวจพบเพิ่มเติมก็เช่น มีความบกพร่องของลานสายตาบางส่วน มีปฏิกิริยาตอบสนองฉับพลันที่ผิดปกติ จอประสาทตาบวม เป็นต้น ซึ่งโรคที่เป็นสาเหตุ
ที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะร่วมกับความผิดปกติของระบบประสาทนั้นก็มีได้หลายสาเหตุด้วยกัน ทั้งโรคติดเชื้อ เช่น สมองอักเสบ หรือ เนื้องอกและมะเร็ง ความผิดปกติแต่กำเนิด
บางชนิดที่ไม่ได้แสดงอาการตั้งแต่แรกเกิด หรือรวมทั้งโรคที่เกิดจากภูมิต้านทานของตัวเองที่ผิดปกติ
          นอกจากนี้การประเมินว่าอาการปวดศีรษะนั้นเกิดจากสาเหตุที่เป็นอันตรายหรือไม่ อาจพิจารณาได้จากปัจจัยเสี่ยง เช่น หากพบอาการปวดศีรษะในผู้สูงอายุเป็นครั้งแรกอาจ
นึกถึงสาเหตุที่เป็นอันตรายไว้ก่อน หรืออาการปวดศีรษะในผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง อาจต้องนึกถึงภาวะที่มะเร็งกระจายมายังสมองร่วมด้วย ในขณะที่หากพบอาการปวดหัวในผู้ป่วย
กลุ่มที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ติดเชื้อไวรัส HIV หรือ ได้รับยาเคมีบำบัด ได้รับยากดภูมิคุ้มกันชนิดต่างๆ อาจต้องนึกถึงอาการปวดศีรษะจากสมองหรือเยื่อหุ้มสมอง ติดเชื้อ
อักเสบ เป็นฝี โดยเชื้อก่อโรคอาจเป็นเชื้อก่อโรคธรรมดา หรือเชื้อฉกฉวยโอกาสก็ได้เช่นกัน
          หากแพทย์ได้ทำการประเมินและวินิจฉัยว่าอาการปวดศีรษะที่เป็นนั้นไม่น่าจะมีสาเหตุมาจากโรคซึ่งเป็นอันตราย แพทย์ผู้รักษาอาจพิจารณาให้ยารักษาก่อน โดยไม่จำเป็น
ต้องส่งตรวจเพิ่มเติม แต่ถ้าหากอาการปวดหัวยังคงเท่าเดิมหรือรุนแรงขึ้นภายหลังได้รับการรักษาตามมาตรฐานของโรคที่สงสัยโดยใช้ระยะเวลาการตรวจติดตามที่เหมาะสมแล้ว
แพทย์อาจพิจารณาให้มีการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมซึ่งเป็นได้ทั้งการทำเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สมองหรือการถ่ายภาพคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมองตามแต่ความเหมาะสมและข้อบ่งชี้ แต่
ถ้าหากแพทย์ผู้ดูแลไม่มีการตรวจเพิ่มเติมใดๆ แม้ว่าผู้ป่วยจะกินยาและมาตามนัดตรวจติดตามต่อเนื่องโดยที่อาการปวดศีรษะไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ผู้ป่วยอาจร้องขอเพื่อเปลี่ยนแพทย์
ผู้ทำการรักษาได้เช่นกัน
          อาการปวดศีรษะเป็นเรื่องที่ควรรู้เพราะเป็นอากานที่พบบ่อยในชีวิตประจำ และอาจบ่งชี้ภาวะอันตรายที่ซ่อนอยู่ได้ หากมีอาการปวดศีรษะ เฉียบพลันรุนแรง อาการปวดหัว
ที่เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ อาการปวดที่เกิดร่วมกับความผิดปกติของระบบประสาท หรือในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง ควรพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที

 



เอกสารอ้างอิง
...........................................................................................................................

http://radiopaedia.org/articles/intracranial-haemorrhage

http://www-sop.inria.fr/asclepios/projects/Health-e-Child/DiseaseModels/content/brain/images/images_TumorGrowth5/scan2_full_kucuk.png