Principles of Writing (หลักการเขียนบทความทางวิชาการ)
2. กระบวนการเขียนบทความวิชาการ
2.1.4 ตรวจแก้ไขขั้นสุดท้าย
ในการเขียนเนื้อหา การตรวจแก้ขั้นสุดท้ายมีความจำเป็นอย่างยิ่ง อาจแบ่งเป็นการตรวจแก้ไขระดับผิวและการตรวจแก้ไขระดับลึก
การตรวจแก้ไขระดับผิว หมายถึงการพิสูจน์อักษร รูปแบบการตีพิมพ์ ถ้อยคำสำนวน
การตรวจแก้ไขระดับลึก หมายถึงการตรวจเนื้อหา ศัพท์เฉพาะ การตรวจแก้ในขั้นนี้นักศึกษาหรือผู้วิจัยต้องถามตนเองด้วยคำถามสำคัญที่ว่า (1) บทความนี้สามารถโน้มน้าวใจผู้อ่านว่าเป็นบทความที่มีคุณค่าทางวิชาการหรือไม่ มีเนื้อหาส่วนที่ไม่ครอบคลุมเกี่ยวข้องประเด็นที่ต้องการนำเสนอหรือไม่ ประเด็นที่ต้องการนำเสนอชัดเจนหรือไม่ มีข้อสนับสนุนเพียงพอหรือไม่ ต้องการปูพื้นฐานเพิ่มเติมหรือไม่ โครงเรื่องของบทความสมเหตุสมผลหรือไม่ มีการเชื่อมโยงที่มีประสิทธิภาพหรือไม่ คำนำและสรุปกระทบใจผู้อ่านหรือไม่ บทความที่เขียนนี้สามารถทำให้ผู้อ่านสนใจที่จะอ่าน หรือนำไปครุ่นคิดต่อไปหรือไม่ การแก้ไขขั้นนี้อาจทำโดย ตัดข้อความที่ซ้ำและไม่เกี่ยวข้องออก ดูรายการข้อมูลสนับสนุนและตัวอย่างที่อาจเขียนในภาพรวมแทนได้ ดูคำอธิบาย ความเป็นมาหรือข้อสันนิษฐานที่อาจนำไปไว้ในส่วนอ้างอิงหรือภาคผนวก (2) ไสตล์หรือลีลาการนำเสนอ ซึ่งควรศึกษากับสาขาวิชา หรือภาษาที่นิยมใช้ในวงวิชาการนั้น ๆ เช่นในบทความวิชาการทางมนุษยศาสตร์อาจมีลักษณะการพรรณนาความ ไม่เขียนสั้นตรงประเด็นอย่างในบทความวิชาการทางวิทยาศาสตร์
ในปัจจุบันนักศึกษาหรือผู้วิจัยส่วนใหญ่เขียนโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ก็จะสามารถปรับแก้ เคลื่อนย้ายย่อหน้า แก้ไขคำศัพท์ได้สะดวกขึ้น และเห็นรูปแบบการนำเสนออย่างชัดเจน เป็นการช่วยในการแก้ไขวิธีหนึ่ง เห็นความเชื่อมโยงของข้อความได้ง่ายขึ้น ทดลองปรับแก้ได้สะดวกขึ้น
การตรวจแก้นี้นักศึกษาหรือผู้วิจัยอาจอ่านเพื่อแก้ไขเองโดยทำตัวเป็นผู้อื่นที่มาอ่านงานของตนเอง หรือ เมื่อเขียนเสร็จทิ้งไว้สองสามวันแล้วจึงมาอ่านใหม่หรือให้เพื่อนหรือผู้อื่นอ่าน การตรวจแก้เช่นนี้จะมีประโยชน์ในการปรับปรุงแก้ไขผลงานให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น
นักศึกษาหรือผู้วิจัยควรระลึกว่า การเขียนก็คือการคิด หากคิดไม่ชัดเจน งานเขียนก็จะไม่ชัดเจน และ นอกจากนี้ การเขียนก็คือการแก้ไขแล้วแก้ไขอีก ไม่มีงานเขียนใดที่ไม่มีการแก้ไข แม้กระทั่งผู้ที่เชี่ยวชาญ หรือผู้ทรงคุณวุฒิก็แก้ไขงานเขียนของตนเองเช่นกัน