| 
         
          |  
              การบริหารพนักงานด้วยความรักโดย...ดร.ชัยเสฏฐ์ 
                 พรหมศรี
 อาชีพ พนักงานมหาวิทยาลัย
 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
 แขวงจิตรลดาเหนือ เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
 อีเมล์ : chaiyaset_promsri@yahoo.com
 (เนื้อหาและภาพประกอบเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน)
 |  คนบนโลกนี้คงไม่สามารถอยู่ได้ถ้าปราศจากความรัก 
      แต่คำว่า รัก มีหลายความหมาย ซึ่งเราต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนเสียก่อนว่า 
      รัก ที่เรากำลังกล่าวถึงอยู่นี้หมาย
 ความว่าอย่างไร ในพจนานุกรมออนไลน์ etdict.com ได้ให้ความหมายของคำว่า love 
      หรือ รัก ไว้หลายคำ แต่ความหมายที่เหมาะจะนำมาอธิบายในหนังสือเล่มนี้ คือ
 a strong positive emotion of regard and affection แปลว่า อารมณ์ด้านบวกที่มั่นคงของความเอาใจใส่และความพึงใจ
 สำหรับ การบริหาร 
      หรือ การจัดการ (Management) หมายถึง กระบวนการที่ผู้บริหารใช้ทรัพยากรที่อยู่อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่
 วางไว้ ซึ่งในที่นี้เราคงพิจารณาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด 
      ที่เป็นตัวขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การใช้ทรัพยากรอื่นๆ เมื่อนำสองคำมารวมกัน
 Love + Management = การบริหารด้วยความรัก หมายถึง การใช้บุคคล (ทรัพยากร) 
      ที่ทำงานในองค์กรโดยให้ความเอาใจใส่และสร้างความพึงใจให้เกิดขึ้นแก่กันเพื่อนำไปสู่
 การบรรลุเป้าหมายขององค์กรร่วมกัน อย่างไรก็ตามการบริหารด้วยความรักไม่ใช่การตามใจหรือเอาใจอีกฝ่ายโดยไม่ลืมหูลืมตา 
      หรือรักแบบไม่สนใจเรื่องของคุณธรรม ศีลธรรม
 หรือจริยธรรม แต่อย่างใด ความรักที่ให้ไปต้องเป็นความรักที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความถูกต้องและยุติธรรม 
      ซึ่งถ้าพิจารณาแนวทางการบริหารของผู้บริหารที่ใช้ความรักในการ
 ขับเคลื่อนและจูงใจคนในองค์กรจะพบว่า ผู้บริหารต้องพิจารณาความรักควบคู่ไปกับขอบเขตในการทำงานที่ชัดเจน 
      ดังภาพด้านล่างที่แสดงให้เห็นความแตกต่างของแนวทางการ
 บริหารด้วยความรักและการคงไว้ซึ่งหลักโครงสร้างในการทำงาน ซึ่งสามารถแบ่งผู้บริหารได้เป็น 
      4 ประเภท ได้แก่
 
         
          | .jpg)  
                 
                  |  
                      ภาพจาก 
                      Web Site http://www.trainingreality.co.uk/blog/tough-love.shtml
 ข้อมูลภาพ ณ วันที่ 15-8-57
 |  |            
        1. นักบริหารแบบเอาตัวรอด  บุคคลที่ไม่ให้ความสนใจต่อเรื่องกฎระเบียบข้อบังคับ 
        และความเอาใจใส่ต่อบุคลากรในทีมหรือองค์กร2. นักบริหารแบบปล่อยตามสบาย 
         บุคคลที่ไม่ได้เข้มงวด ใช้กฎระเบียบข้อบังคับ แต่ให้ความรัก ความอบอุ่น 
        ความเอาใจใส่อย่างเต็มที่
 3. นักบริหารแบบอำนาจนิยม 
         บุคคลที่มีความเข้มงวดต่อการใช้กฎระเบียบข้อบังคับ แต่ไม่ได้ให้ความรัก 
        ความอบอุ่น ความเอาใจใส่แต่อย่างใด
 4. นักบริหารแบบรักอย่างมีเหตุผล 
         บุคคลที่สร้างสมดุลระหว่างการใช้กฎระเบียบเพื่อให้อยู่ในวินัย และการให้ความรัก 
        ความเอาใจใส่และการสนับสนุน
 การนำเสนอตารางการบริหารด้วยความรักมีความคล้ายคลึงกับตาข่ายแห่งการบริหาร 
        หรือ Managerial Grid ที่นำเสนอโดย Robert Blake และ Jane Mouton ในช่วง
 ทศวรรษที่ 1960s ซึ่งช่วยในการกำหนดตำแหน่งของผู้บริหาร จากมุมมองที่สำคัญ 
        2 มุม ได้แก่
 การให้ความใส่ใจต่อเรื่องงาน 
        (Task- Centeredness) เป็นระดับความใส่ใจที่ผู้บริหารมีต่อความมีประสิทธิภาพในการทำงาน 
        ผลผลิตที่สูงของงาน และหาแนวทางที่ดี
 ที่สุดเพื่อการบรรลุเป้าหมายในการทำงาน
 การให้ความใส่ใจต่อเรื่องคน 
        (Person-Centeredness) เป็นระดับความใส่ใจต่อสมาชิกภายในทีมหรือในองค์กร 
        ให้ความสำคัญกับความต้องการ ผลประโยชน์ และแนว
 ทางในการพัฒนาสมาชิกเหล่านั้นซึ่งเมื่อนำทั้งน้ำหนักของทั้ง 2 ด้านมาระบุช่วงตำแหน่งในตาข่าย 
        จะพบลักษณะของผู้บริหารที่แตกต่างกัน 5 ลักษณะดังต่อไปนี้ (ดูภาพประกอบ)
 
         
          | .jpg)  
                 
                  |  
                      ภาพจาก 
                      Web Site http://www.managementstudyguide.com/blake-mouton-managerial-grid.htm
 ข้อมูลภาพ ณ วันที่ 15-8-57
 |  |   
                  1. 
        ผู้บริหารแบบปล่อยตามสบาย (1, 1): ผู้บริหารที่ใช้วิธีการแบบนี้มีความใส่ใจต่อทั้งเรื่องงานและเรื่องคนต่ำ 
        ไม่ให้ความสนใจต่อความเป็นอยู่หรือความพึงพอใจในการทำงานของพนักงานในองค์กร รวมทั้งไม่สนใจเรื่องของระยะเวลาในการทำงานให้เสร็จลุล่วงตามเป้าหมาย
 2. 
        ผู้บริหารที่เน้นอำนาจและการเชื่อฟัง (9, 1): ผู้บริหารที่เน้นในเรื่องงานมากกว่าเรื่องคน 
        ผู้บริหารในลักษณะนี้สอดคล้องกับทฤษฎี X ของ McGregor ที่มองว่า
 ลูกน้องขี้เกียจ ไม่เต็มใจที่จะทำงาน ต้องมีการลงโทษเพื่อกระตุ้นให้อยากทำงาน 
        เพราะฉะนั้นผู้บริหารประเภทนี้จะไม่ให้ความสำคัญหรือเอาใจใส่ต่อความรู้สึกของพนักงานแต่
 อย่างใด ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการบริหารของผู้บริหารประเภทนี้ก็คือ ผลผลิตอาจเพิ่มขึ้นในระยะสั้น 
        แต่ในระยะยาวอาจมีการลาออกจากงานเพิ่มมากขึ้น
 3. 
        ผู้บริหารแบบพบกันครึ่งทาง (5, 5): ผู้บริหารประเภทนี้เป็นผู้บริหารที่แสดงให้เห็นถึงความประนีประนอม 
        โดยพยายามจะสร้างความสมดุลระหว่างการบรรลุ
 เป้าหมายขององค์กรและความต้องการของพนักงาน อย่างไรก็ตามผู้บริหารที่ใช้วิธีการในลักษณะนี้ไม่สามารถที่จะนำพาองค์กรไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้ 
        รวมทั้งไม่สามารถตอบ
 สนองความต้องการที่แท้จริงของพนักงานได้เช่นเดียวกัน
 4. 
        ผู้บริหารแบบเน้นการสมาคม (1, 9): ผู้บริหารประเภทนี้ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องงานแต่มุ่งเน้นต่อความต้องการของพนักงานในองค์กรมากกว่า 
        เพราะผู้บริหาร
 ลักษณะนี้เชื่อว่าการปฏิบัติที่ดีต่อพนักงานจะนำไปสู่การสร้างแรงจูงใจในการทำงานและทำให้พนักงานทำงานหนักมากขึ้นด้วยตนเอง 
        อย่างไรก็ตามการที่ผู้บริหารให้ความสำคัญ
 กับเรื่องงานน้อยเกินไป ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากการปล่อยให้พนักงานทำงานเองนั้นเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
 5. 
        ผู้บริหารที่เน้นการทำงานเป็นทีม (9, 9): ผู้บริหารลักษณะนี้เป็นผู้บริหารที่มุ่งทั้งคนและงาน 
        รูปแบบการบริหารในลักษณะนี้สอดคล้องกับทฤษฎี Y ของ McGregor ที่มองว่าพนักงานมีความขยันและมีความรับผิดชอบ 
        การบริหารในลักษณะนี้เป็นการบริหารที่มีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยผู้บริหารเชื่อว่าการมอบอำนาจ 
        ความผูกพัน
 ความไว้เนื้อเชื่อใจ และความเคารพซึ่งกันและกัน เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่ช่วยสร้างบรรยากาศภายในทีมที่นำไปสู่ความพึงพอใจของพนักงานและผลผลิตที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น
 คุณลักษณะทั้ง 
        5 ประการที่ปรากฏในตาข่ายแห่งการบริหาร สะท้อนให้เห็นสิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งของหลักในการบริหารคนด้วยความรักก็คือผู้บริหารจะบริหารโดยมุ่งแต่
 การตอบสนองความต้องการของทีมงานอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องตอบสนองในเรื่องของการบรรลุเป้าหมายในการทำงานด้วย 
        อย่างไรก็ดีมีผู้บริหารบางคนอาจมีมุมมองหรือทัศนคติ
 ในแง่ลบต่อพนักงานของตน ทำให้การแสดงออกซึ่งความเอาใจใส่หรือความสนใจต่อสมาชิกในทีมลดน้อยลง 
        ทั้งนี้อาจเป็นผลมาจากการรับรู้ที่ผิดพลาดของผู้บริหาร ซึ่งส่งผลต่อ
 ความคิดหรือมุมมองที่มีต่อพนักงาน แนวทางที่จะช่วยให้ผู้บริหารทำความเข้าใจกับพนักงานแต่ละคนได้ดีมากยิ่งขึ้น 
        คือ การสังเกตการณ์แสดงออกทางพฤติกรรมของพนักงาน
 อย่างเป็นระบบ และเชื่อมโยงสิ่งที่สังเกตเห็นกับข้อมูลต่างๆ ที่มี เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์และบทสรุปที่ว่า 
        พฤติกรรมที่เกิดขึ้นของพนักงานคนหนึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยภายในของ
 ตัวพนักงานเอง หรือ เป็นเพราะปัจจัยภายนอกหรือสภาพแวดล้อมกันแน่
 วิธีการที่ใช้ในการพิจารณาพฤติกรรมของพนักงานนี้ 
        เป็นหลักที่สำคัญของทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เรียกว่า ทฤษฎีคุณลักษณะ ซึ่งเป็นการตัดสินว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้
 บุคคลๆ หนึ่งแสดงพฤติกรรมเช่นนั้นออกมา ไม่ว่าจะเป็นคุณลักษณะของตัวบุคคลเอง 
        หรือ มาจากสภาพแวดล้อม ตัวอย่างเช่น ถ้าวันหนึ่งเราถูกเจ้านายต่อว่าบอกว่าเราทำงาน
 ไม่ได้เรื่อง เราอาจมองว่าพฤติกรรมหรือการแสดงออกนั้นเป็นเพราะเจ้านายของเราไม่มีความอดทน 
        และ ไม่ชอบรับฟังคำอธิบายใดๆ จากลูกน้อง วิธีคิดแบบนี้มองว่าพฤติกรรม
 ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวบุคคลเอง ในทางกลับกันถ้าเราถูกเจ้านายต่อว่าหรือตะโกนใส่หน้า 
        เราอาจมองว่านั่นเป็นเพราะเราทำงานไม่เสร็จตามเวลาที่กำหนด และส่งผลให้ลูกค้า
 ไม่พอใจ การกระทำของเจ้านายสะท้อนให้เห็นสภาพแวดล้อมหรือปัจจัยภายนอกเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดพฤติกรรม
 คุณลักษณะมีความสำคัญเป็นเพราะช่วยให้ให้ผู้บริหารตัดสินได้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์อย่างไร 
        ตัวอย่างในกรณีเจ้านายต่อว่าหรือตะโกนใส่หน้า ลูกน้องที่ตำหนิว่าการ
 ต่อว่าหรือตะโกนใส่หน้าเป็นบุคลิกภาพของเจ้านายเอง ลูกน้องก็จะมองว่าเจ้านายเป็นปัญหาและพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้า 
        ในทางตรงกันข้าม ถ้าลูกน้องมองว่าการต่อว่า
 หรือตะโกนใส่หน้าของเจ้านายเป็นความผิดของตนเอง ในครั้งต่อไปเขาจะทำงานให้ดียิ่งขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ในลักษณะนั้นเกิดขึ้นอีก
 อย่างไรก็ดี 
        การพิจารณาพฤติกรรมของบุคคลใดบุคคลหนึ่งจำเป็นที่จะต้องนำองค์ประกอบที่สำคัญ 
        3 ประการมาใช้ในการวิเคราะห์ว่าพฤติกรรมที่แสดงออกนั้น มาจาก
 คุณลักษณะภายในหรือภายนอก ปัจจัยที่ว่าได้แก่ ความสม่ำเสมอ ความแตกต่าง และการกระทำของคนส่วนใหญ่ 
        โดยพิจารณาดังนี้
 ความสม่ำเสมอ 
        เป็นการถามว่า บุคคลทำพฤติกรรมแบบนี้บ้างหรือไม่ในอดีตที่ผ่านมาก ถ้าใช่คือมีความถี่ในการทำพฤติกรรมลักษณะนี้ 
        ก็แปลว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเป็น
 ผลมาจากคุณลักษณะภายใน แต่ถ้าไม่ใช่คือมีความถี่น้อยหรือแทบจะไม่มีเลย ก็หมายความว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมาจากคุณลักษณะภายนอก
 ความแตกต่าง 
        เป็นการถามว่า บุคคลได้ทำพฤติกรรมแบบนี้บ้างหรือไม่ในสถานการณ์อื่น ถ้าคำตอบคือมีความแตกต่างน้อยมาก 
        (คือมีการกระทำในลักษณะเดียวกันใน
 สถานการณ์อื่น) แปลว่าพฤติกรรมที่แสดงออกมาเป็นเพราะปัจจัยภายใน ในทางกลับกันถ้ามีความแตกต่างมาก 
        คือไม่มีการกระทำในลักษณะเดียวกันในสถานการณ์อื่น หมาย
 ความว่าพฤติกรรมที่แสดงออกมานั้นเกิดจากปัจจัยภายนอก
 การกระทำของคนส่วนใหญ่ 
        เป็นการถามว่า คนส่วนใหญ่ปฏิบัติอย่างไรในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน ถ้าคำตอบคือคนส่วนใหญ่ไม่ได้แสดงพฤติกรรมในลักษณะเดียวกันเมื่อ
 เผชิญกับสถานการณ์คล้ายคลึงกัน คือ การกระทำของคนส่วนใหญ่น้อย หมายความว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมาจากคุณลักษณะภายใน 
        ในทางตรงกันข้ามถ้าคนส่วนใหญ่มีการแสดง
 ออกทางพฤติกรรมที่เหมือนกันสูง แสดงว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากคุณลักษณะภายนอก
 การพิจารณาองค์ประกอบทั้ง 
        3 ประการนี้ช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจพนักงานในองค์กรได้ดียิ่งขึ้น และไม่ตัดสินเพียงแค่สิ่งที่พนักงานเหล่านั้นแสดงออก 
        โดยปราศจากการ
 ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นหลักที่สำคัญของการบริหารคนด้วยความรัก 
        เพราะผู้บริหารที่ดีต้องไม่ตัดสินใจคนจากสิ่งที่เห็นเพียงแค่ครั้งแรกเท่านั้น 
        แต่ต้องให้
 โอกาสและหาข้อมูลให้มากเพียงพอเพื่อประกอบการตัดสินใจ เพราะโดยมาก คนเรามักมีแนวโน้มที่จะกำหนดคุณลักษณะของพฤติกรรมของบุคคลอื่นจากปัจจัยภายในมากกว่า
 ภายนอก แบบนี้เรียกว่า พวกมองคนอื่นแย่ (Fundamental attribution errors) 
        ในทางกลับกันมักมองว่าพฤติกรรมที่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะตัวเองเป็นคน
 ทำไม่ได้มาจากปัจจัยภายนอกแต่อย่างใด ลักษณะเช่นนี้เรียกว่า พวกชอบเข้าข้างตนเอง 
        (Self-serving bias) ถ้านำลักษณะทั้ง 2 อย่างมารวมเข้าด้วยกัน เราจะเรียกคน
 ประเภทนี้ว่า เอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ทั้งหมดที่กล่าวมาคือแนวทางที่สำคัญที่ช่วยในการทำความเข้าใจพนักงานในองค์กร 
        ที่เรียกว่า การบริหารพนักงานด้วยความรัก
 
 
 เอกสารอ้างอิง
 ...........................................................................................................................
 ชัยเสฏฐ์ 
        พรหมศรี. (2555). Happy Life: ชีวิตนี้มีความสุข. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์คิดดี.
 http://www.trainingreality.co.uk/blog/tough-love.shtml http://www.managementstudyguide.com/blake-mouton-managerial-grid.htm
 
 
 
 |