บทวิเคราะห์วรรณกรรมเรื่อง 
                ทุกข์ของชาวนาในบทกวี 
                  
                โดย...คุณชัยณรงค์ 
                 อกอุ่น 
                ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 
                โรงเรียนโพธิ์ไทรพิทยาคาร 
                อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี 
                อีเมล์ 
                : makkaaot@gmail.com 
                (เนื้อหาและภาพประกอบเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน) 
              | 
         
       
       
       
                บทความเรื่อง 
      ทุกข์ของชาวนาในบทกวี มีที่มาจากหนังสือรวมบทความบทพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ 
      สยามบรมราชกุมารี เรื่อง มณีพลอยร้อยแสง 
      ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๓ ในวโรกาสที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุครบ 
      ๓ รอบ โดยนิสิตคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รุ่นที่ ๔๑ 
       
       
      
         
              
               
              
                 
                   
                      ข้อมูลภาพ ณ วันที่ 11-5-59 
                    | 
                 
               
              | 
         
       
       
                หนังสือรวมบทพระราชนิพนธ์เรื่อง 
      มณีพลอยร้อยแสง แบ่งเนื้อหาออกเป็น ๑๑ หมวดด้วยกัน คือ กลั่นแสงกรองกานท์ เสียงพิณเสียงเลื่อน 
      เสียงเอื้อนเสียงขับ เรียงร้อยถ้อยดนตรี 
      ชวนคิดพินิจภาษา นานาโวหาร คำขานไพรัช สมบัติภูมิปัญญา ธาราความคิด นิทิศบรรณา 
      สาราจากใจและมาลัยปกิณกะ 
                ในหมวด ชวนคิดพินิจ 
      เป็นพระราชนิพนธ์บทความและบทอภิปรายรวม ๔ เรื่อง คือ ภาษากับคนไทย การใช้สรรพนาม 
      วิจารณ์คำอธิบายในไวยากรณ์บาลี และทุกข์ของชาวนา 
      ในบทกวี ซึ่งเป็นบทวิจารณ์ร้อยกรองซึ่งผู้เขียนนำมานำเสนอในครั้งนี้ 
                ทุกข์ของชาวนาในบทกวี 
      เป็น บทความแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นบทความที่มีจุดมุ่งหมายที่จะแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นใดประเด็นหนึ่ง 
      ความคิดเห็นที่นำเสนอได้มาจาก 
      การวิเคราะห์ ซึ่งใช้วิจารณญาณของผู้เขียน โดยผ่านการสังเกตปัญหา ที่มาของเรื่อง 
      และข้อมูลต่าง ๆ อย่างละเอียด ความคิดเห็นที่เสนออาจจะเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาตามทัศนะของ 
      ผู้เขียนหรือการโต้แย้งความคิดเห็นของผู้อื่นที่มีมาก่อน 
                อย่างไรก็ตาม 
      บทความแสดงความคิดเห็นที่ดีควรเสนอทัศนะใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครคิด หรือเสนอทัศนะที่มีเหตุผลเป็นการสร้างสรรค์ 
      ไม่ใช่การบ่อนทำลาย ความน่าเชื่อถือของ 
      ความคิดเห็นที่นำเสนอนั้นขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ปัญหา การใช้ปัญญาไตรตรองโดยปราศจากอคติ 
      และการแสดงถึงเจตนาดีของผู้เขียนที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม 
                เนื้อเรื่องย่อนั้น 
      ในตอนแรกของบทความ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีได้ทรงยกย่องบทกวีของจิตร 
      ภูมิศักดิ์ ซึ่งบทประพันธ์ดังกล่าว คือ 
        
      
         
           
                        เปิบข้าวทุกคราวคำ 
              เหงื่อกูที่สูกิน 
                        ข้าวนี้น่ะมีรส 
              เบื้องหลังสิทุกข์ทน 
                        จากแรงมาเป็นรวง 
              จากรวงเป็นเม็ดพราว 
                        เหงื่อหยดสักกี่หยาด 
              ปูดโปนกี่เส้นเอ็น 
                        น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง 
              สายเลือดกูทั้งสิ้น  | 
           
            สูจงจำเป็นอาจิณ 
            จึงก่อเกิดมาเป็นคน 
            ใช้ชนชิมทุกชั้นชน 
            และขื่นขมจนขืนคาว 
            ระยะทางนั้นเหยียดยาว 
            ล้วนทุกข์ยากลำบากเข็ญ 
            ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น 
            จึงแปรวงมาเป็นกิน 
            และน้ำแรงอันหลั่งริน 
            ที่สูซดกำซาบฟัน | 
         
       
       
                ซึ่งบทประพันธ์นี้ 
      กล่าวถึงชีวิตละความทุกข์ยากของชาวนา ในตอนต่อมาทรงแปลบทกวีจีนของหลี่เชินเป็นภาษาไทย 
      ทำให้มองเห็นภาพของชาวนาจีนเมื่อเปรียบเทียบกับชาวนา 
      ไทยว่ามิได้มีความแตกต่างกันแม้ในฤดูกาลเพาะปลูก ซึ่งภูมิอากาศเอื้อให้พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์ดี 
      แต่ผลผลิตไม่ได้ตกเป็นของผู้ผลิต คือชาวนาเท่าที่ควร และส่วนที่สำคัญที่สุดคือ 
      ทรงชี้ให้เห็นว่าแม้จิตร ภูมิศักดิ์และหลี่เชินจะมีกลวิธีการนำเสนอบทกวีที่แตกต่างกัน 
      แต่กวีทั้งสองท่านกลับมีแนวความคิดที่คล้ายคลึงกัน กล่าวคือ มุ่งที่จะกล่าวถึงความทุกข์ยากของ 
      ชาวนา และทำให้เห็นว่าชาวนาในทุกแห่งและทุกสมัยล้วนประสบแต่ความทุกข์ยากไม่แตกต่างกัน
      
         
              
               
              
                 
                   
                      ภาพ 
                        จิตร ภูมิศักดิ์ 
                        ข้อมูลภาพ ณ วันที่ 
                        11-5-59 
                      | 
                 
               
              | 
         
       
      
       
        บทวิเคราะห์ 
                  ๑. 
        คุณค่าด้านภาษา 
                       กลวิธีการแต่ง 
        ทุกข์ของชาวนาในบทกวี นับเป็นตัวอย่างอันดีของบทความที่สามารถยึดถือเป็นแบบอย่างได้ 
        ด้วยแสดงให้เห็นความคิดชัดเจน ลำดับเรื่องราวได้เข้าใจง่าย 
        และมีส่วนประกอบของงานเขียนประเภทบทความอย่างครบถ้วน คือ 
                       ส่วนนำ 
        กล่าวถึงบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ ที่ทรงได้ยินได้ฟังมาจากอดีตมาประกอบการเขียนบทความ 
                       เนื้อเรื่อง 
        วิจารณ์เกี่ยวกับกลวิธีการนำเสนอบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ และของหลี่เชิน 
        โดยทรงยกเหตุผลต่าง ๆ และทรงแสดงทัศนะประกอบ เช่น 
        ...ชวนให้คิดว่าเรื่องจริง ๆ นั้น ชาวนาจะมีโอกาสไหมที่จะ ลำเลิก กับใคร 
        ๆ ว่า ถ้าไม่มีคนคอยเหนื่อยยากตรากตรำอย่างพวกเขา คนอื่น ๆ จะเอาอะไรกิน... 
                       ส่วนสรุป 
        สรุปความเพียงสั้น แต่ลึกซึ้ง ด้วยการตอกย้ำเรื่องความทุกข์ยากของชาวนา ไม่ว่ายุคสมัยใด 
        ๆ ก็เกิดปัญหาเช่นนี้ ดังความที่ว่า 
        ...ฉะนั้นก่อนที่ทุกคนจะหันไปกินอาหารเม็ดเหมือนนักบินอวกาศ เรื่องความทุกข์ของชาวนาก็คงยังเป็นแรงสร้างความสะเทือนใจให้แก่กวียุคคอมพิวเตอร์รุ่นต่อไป... 
                       สำหรับกลวิธีการอธิบายนั้นให้ความรู้เชิงวรรณคดีเปรียบเทียบแก่ผู้อ่าน 
        โดยทรงใช้การเปรียบเทียบวิธีการนำเสนอของกวีไทยและจีนว่า 
        เทคนิคในการเขียนของหลี่เชินและจิตรต่างกันคือ หลี่เชินบรรยายภาพที่เห็นเป็นเหมือนจิตรกรวาดภาพให้คนชม 
        ส่วนจิตรใช้วิธีเสมือนกับนำชาวนามาบรรยายเรื่องของตนให้ผู้อ่าน 
        ฟังด้วยตนเอง 
                  บทกวีของหลี่เชินเป็นบทกวีที่เรียบง่าย 
        แต่แสดงความขัดแย้งอย่างชัดเจน คือแม้ว่าในฤดูเพาะปลูก ภูมิอากาศจะเอื้ออำนวยให้พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์ดี 
        แต่ผลผลิตมิได้เป็น 
        ของผู้ผลิต คือชาวนาหรือเกษตรกรเท่าที่ควร ซึ่งหลี่เชินได้บรรยายภาพที่เห็นเหมือน 
        จิตรกรวาดภาพให้คนชม ส่วนจิตร ภูมิศักดิ์ ใช้กลวิธีบรรยายเสมือนว่าชาวนาเป็นผู้บรรยายเรื่อง 
        ราวให้ผู้อ่านฟังด้วยตนเอง 
                  อย่างไรก็ตาม 
        แนวคิดของกวีทั้งสองคล้ายคลึงกัน คือ ต้องการสื่อให้ผู้อ่านได้เห็นว่าสภาพชีวิตชาวนาในทุกแห่งและทุกสมัย 
        ประสบกับความทุกข์ยากไม่แตกต่างกัน 
      
         
              
               
              
                 
                   
                       
                        ข้อมูลภาพ ณ วันที่ 
                        11-5-59 
                      | 
                 
               
              | 
         
       
       
        คุณค่าด้านสังคม 
                  สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ 
        สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงเริ่มต้นด้วยการยกบทกวีของจิตร ภูมิศักดิ์ ซึ่งแต่งด้วยกาพย์ยานี 
        ๑๑ จำนวน ๕ บท มีเนื้อหาเกี่ยวกับความยากลำบาก 
        ของชาวนาที่ปลูกข้าวซึ่งเป็นอาหารสำคัญของคนทุกชนชั้น พระองค์ทรงเห็นด้วยกับบทกวีนี้และยังทรงกล่าวอีกว่าเนื้อหาบทกวีของจิตร 
        ภูมิศักดิ์ สอดคล้องกับบทกวีของหลี่เชิน กวีชาว 
        จีนที่แต่งไว้ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง แสดงให้เห็นว่าสภาพชีวิตของชาวนาไม่ว่าที่ใดแห่งใดในโลก 
        จะเป็นไทยหรือจีนจะเป็นสมัยใด ๆ ก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีความยากแค้นลำเค็ญเช่นเดียว 
        กันทั้งสิ้น 
                  ดังนั้น แนวคิดสำคัญของบทความพระราชนิพนธ์เรื่อง 
        ทุกข์ของชาวนาในบทกวี จึงอยู่ที่ความทุกข์ยากของชาวนา และสภาพชีวิตของชาวนาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบอยู่เสมอ 
        ดังความที่ว่า  
                  ...แม้ว่าในฤดูกาลนั้นภูมิอากาศจะอำนวยให้พืชพันธุ์ธัญญาหารบริบูรณ์ดี 
        แต่ผลผลิตมิได้เป็นของผู้ผลิต คือชาวนาหรือเกษตรกรเท่าที่ควร... 
                  แม้ว่าในบทความนี้จะไม่เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา 
        แต่แนวคิดของเรื่องที่แจ่มแจ้งและชัดเจนดังที่กล่าวมา ก็มีผลให้สังคมหรือหน่วยงานที่เกี่ยวของได้ประจักษ์และตระหนัก 
        ถึงความสำคัญของชาวนาและเล็งเห็นปัญหาต่าง ๆ อันอาจนำไปสู่การแสวงหาหนทางแก้ไขในท้ายที่สุด 
                  พระราชนิพนธ์เรื่อง 
        ทุกข์ของชาวในบทกวี แสดงให้เห็นความเข้าพระทัยและเอาพระทัยใส่ในปัญหาการดำรงชีวิตของชาวนาไทย 
        ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงพระเมตตาอันเปี่ยมล้น 
        ของพระองค์ที่ทรงมีต่อชาวนาผู้มีอาชีพปลูกข้าวเป็นหลัก เริ่มชีวิตและการทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ 
        ทำงานแบบหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ตลอดทั้งปี ดังนั้นในฐานะผู้บริโภคจึงควรสำนึกใน 
        คุณค่าและความหมายของชาวนาที่ปลูก ข้าว อันเป็นอาหารหลักเพื่อการมีชีวิตอยู่รอดของคนไทย 
        
        
       
         
        เอกสารอ้างอิง 
        ........................................................................................................................... 
        http://www.kasetporpeangclub.com/forumsE0 
        http://thainews.prd.go.th/centerweb/PRD/NewsDetail?NT01_NewsID=WNEVN5802100010003 
        http://123.242.165.136/blessing/ 
        http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000176974 
      
      
     |