แล ลอด สอด ส่อง วรรณกรรมอีสานเรื่อง “ ท้าวคำสอน ”
โดย...ชัยณรงค์  อกอุ่น
ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
โรงเรียนโพธิ์ไทรพิทยาคาร
อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี

อีเมล์ : makkaaot@gmail.com

(เนื้อหาและภาพประกอบเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน)


          วรรณกรรมประเภทคำสอนเรื่อง ท้าวคำสอน นี้น่าจะประพันธ์มาจากคตินิยมของชาวท้องถิ่นอีสานกล่าวคือประมวลความเชื่อเรื่องลักษณะสตรีเพศมาประพันธ์เป็นตำรา
วิชาการว่าด้วยลักษณะของสตรี ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับ ทักษาพยากรณ์ (ตำราว่าด้วยการทายลักษณะสตรี) ต่างแต่ว่าเรื่องท้าวคำสอนนี้ไม่ได้เน้นลักษณะสตรีเพศอย่างเดียวกลับ
เน้นทางด้านความประพฤติและจริยธรรมด้วย ฉะนั้นจึงมีลักษณะคล้ายบทบัญญัติในการเลือกคู่ครองสำหรับชาย และเข้าใจว่าน่าจะเป็นตำราทางวิชาการของบุรุษเพศมาแต่
โบราณ ซึ่งยึดถือปฏิบัติกันมา แต่ชาวอีสานจะยึดถือบทบัญญัติในเรื่องท้าวคำสอนนี้เพียงใดไม่ทราบ แต่เข้าใจว่าจะมีการเชื่อถือและยึดมั่นกันพอสมควร เอกสารใบลานฉบับนี้จึง
ค่อนข้างจะแพร่หลาย อีกประการหนึ่งความประณีตในการประพันธ์ของกวีก็มีส่วนให้เอกสารฉบับนี้แพร่หลายเช่นเดียวกัน ซึ่งเรื่องท้าวคำสอนนี้สำนวนโวหาร และกระบวนการ
ประพันธ์จัดอยู่ในขั้นดีเรื่องหนึ่ง
          ต้นฉบับ เดิมเป็นเอกสารใบลาน อยู่ ณ วัดใดไม่ปรากฏ ในคำนำบอกแต่เพียงว่ามีผู้นำมาถวายท่านเจ้าคุณอริยานุวัตร (อารีย์ เขมจารี) วัดมหาชัย อำเภอเมือง จังหวัด
มหาสารคาม ได้ชำระออกมาเป็นอักษรไทย และพิมพ์เผยแพร่ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ พิมพ์ที่โรงพิมพ์อักษรทองการพิมพ์ อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม
          อายุความเก่าแก่ของเรื่องท้าวคำสอน จากการศึกษาเรื่องนี้แล้ว พบว่าน่าจะประพันธ์หลังเรื่อง กาละนับมื้อส้วยเพราะมีสำนวนในกาละนับมื้อส้วยปรากฏอยู่ในเรื่องนี้ ซึ่งใน
เรื่องกาละนับมื้อส้วยกล่าวถึงความวิปริตของบ้านเมืองในอนาคตว่า บัวเผื่อนจะไปเกิดอยู่กลางหนอง บัวทองไปเกิดที่หัวสวน บ้านเก่า ที่น้ำลึกกลับตื้น ที่น้ำตื้นกลับลึก ในเรื่องนี้ก็
ได้กล่าวได้เช่นกัน ดังนี้
          บัวอี่แบ้สังไปเกิดกลางหนองแท้นอ บัวทองสังไปเกิดหัวสวนบ้านเก่า ที่เลิ้กมาเล่าตื้นสังไปโฮ่งแต่บ่อนเขิน เจ้าเอย (อี่แบ้-บัวเผื่อน สัง-ไฉน, ฉันใด เลิ้ก-ลึก, น้ำลึก โฮ่ง-น้ำล้น)

เนื้อเรื่อง
          ท้าวคำสอนเป็นกำพร้าอาศัยอยู่กับพระมหาเถระ เมื่อเจริญวัยพระมหาเถระจึงสอนวิธีเลือกคู่ครอง ซึ่งท่านได้อรรถาธิบายถึงลักษณะหญิงประเภทต่างๆ ท้าวคำสอนก็ลา
พระมหาเถระไปหาหญิงลักษณะดีเป็นคู่ครอง ในที่สุดก็พบนางปังคำ เป็นคนจนอยู่กระท่อม แต่มีลักษณะถูกตามโฉลกของหญิงดีเป็นเมียแก้ว ท้าวคำสอนเกี้ยวพาราสี ซึ่งตอนนี้
เป็นตอนที่กวีได้แสดงฝีปากได้ดีมาก และในสำนวนเกี้ยวพาราสีกันนี้ ดูเหมือนว่าหนุ่มสาวชาวอีสานจดจำกันได้ดี และนำมาพูดจาเกี้ยวกัน สนทนากันอยู่เนื่อง ๆ ฉะนั้นถ้ารวบรวม
สำนวนผญาที่หนุ่มสาวจ่ายผญากันนั้น จะเป็นสำนวนที่จดจำมาจากเรื่องท้าวคำสอนเป็นส่วนใหญ่
          จากการศึกษาเรื่องท้าวคำสอนนี้พบว่า ค่านิยมในการเลือกคู่ครองของชาวอีสานนั้นไม่เน้นเรื่องความงามเป็นหลักแต่กลับเน้นถึงลักษณะของสตรีที่เป็นสิริมงคล ถึงแม้ว่า
ความงามจะด้อยไปก็ตาม และลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งก็คือเน้นสตรีที่มีใจบุญสุนทานไม่น้อยกว่าลักษณะอื่นๆ แสดงว่าค่านิยมในการเลือกคู่ครองของชายชาวอีสาน มุ่งที่จะ
ได้คู่ครองที่เป็นภรรยาที่ดี คือเป็นเมียแก้วเมียขวัญ ซึ่งเป็นความปรารถนาของชายโดยทั่วไป และค่านิยมนี้ถึงแม้จะปฏิบัติไม่ได้ดังปรารถนานักก็ตามที แต่จากหลักเกณฑ์ในการ
เลือกคู่ครองนี้ ก็เป็นแนวคิดที่ดีในการสอนกุลบุตรกุลธิดาที่ยังไม่มีประสบการณ์เรื่องชีวิตคู่มากนัก ถ้าเราศึกษาดูความงามของสตรีในวรรณกรรมอีสานแล้ว ส่วนใหญ่จะมีแนวโน้ม
ตามคตินิยมในเรื่องท้าวคำสอนอยู่โดยทั่วไป


ภาพจาก Web Site
http://www.oknation.net/blog/buzz/2012/10/15/entry-
ข้อมูลภาพ ณ วันที่ 1-9-57


ตัวอย่างคำสอนที่ได้จากเรื่อง
         
๑. ลักษณะหญิงที่เป็นสิริมงคล วรรณกรรมเรื่องท้าวคำสอนนี้ได้ชี้ให้เห็นค่านิยมของสังคมโบราณในภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่า ลักษณะหญิงที่จะเป็นคู่ครองนั้นควรเป็น
หญิงนำโชคมาสู่สามีและครอบครัว ใจบุญ ซื่อสัตย์ต่อสามี และเป็นแม่บ้านที่ดี ถ้าศึกษาโดยละเอียดจะเห็นว่าค่านิยมในการเลือกคู่ครองนี้ เน้นหนักในเรื่องการนำโชคลาภมาสู่สามี
และทำให้สามีเจริญก้าวหน้ามากกว่าเรื่องนั้น ฉะนั้นลักษณะเช่นนี้จึงเป็นการทำนายตามทักษาพยากรณ์เท่านั้น ส่วนที่เน้นรองลงมา ได้แก่ หญิงใจบุญสุนทาน ซึ่งลักษณะเช่นนี้น่า
จะสังเกตได้จากจริยาวัตรของหญิงนั้น ๆ แต่ถึงอย่างไรก็ตามการดูลักษณะสตรีตามเรื่องท้าวคำสอนนี้ก็ยังเป็นเรื่องความเชื่อมากกว่า เพราะจากการศึกษาแล้วเห็นว่าหลักเกณฑ์
ต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในเรื่องท้าวคำสอนนี้ เป็นเพียงความพยายามที่จะกำหนดรูปแบบสตรีโดยยึดลักษณะของสตรีมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา ซึ่งไม่แน่ว่าจะเป็นจริงเช่นนั้น แต่
อย่างไรก็ตามเอกสารนี้ก็เป็นสิ่งที่จะชี้ให้เห็นแนวความคิด และคตินิยมว่าชาวอีสานนั้นไม่พึงใจในสตรีงามมากนัก แต่กลับพึงใจในสตรีที่คิดว่าเป็นผู้นำโชคลาภมาสู่สามีและ
ครอบครัวเป็นอันดับแรกและที่รองลงมาคือสตรีที่ใจบุญ ซื่อสัตย์ต่อสามี และเป็นแม่บ้านแม่เรือน ตามลำดับ
          ๑. ลักษณะหญิงที่เป็นสิริมงคลแก่สามีและครอบครัว ซึ่งควรที่จะเลือกเป็นคู่ครองนั้นมีลักษณะสำคัญ ๒ ประการ คือ
              ๑.๑ สตรีที่นำโชคลาภมาสู่สามีและครอบครัว ซึ่งจะมีวาสนาให้สามีเจริญรุ่งเรือง และครอบครัวมีความสุข ร่ำรวย

              ๑.๒ ลักษณะสตรีที่มีความซื่อสัตย์ต่อสามี ไม่เป็นชู้ ตัวอย่างเช่น

          หญิงใดหลังตีนสูงขึ้นคือหลังดองเต่า
ก็บ่มักเล่นชู้ชายอื่นมาชม
หญิงนั้นแม่นซิทำการสร้างอันใดก็เรืองรุ่ง แท้แล้ว
หญิงนั้นใจซื่อแท้ประสงค์ตั้งต่อผัว เจ้าเอย
ก็ท่อจงใจรักต่อผัวคีค้อยคีค้อย
แสนซิจมอยู่พื้นมาแล้วก็หากฟู
(คีค้อยคีค้อย-สม่ำเสมอ ฟู-เจริญ, รุ่งเรือง, ฟูเฟื่อง)


ภาพจาก Web Site
www. http://pantip.com/topic/30737251
ข้อมูลภาพ ณ วันที่ 1-9-57

          ๒.ลักษณะหญิงที่เป็นอัปมงคล ไม่ควรเลือกมาเป็นคู่ครอง ท่านได้อรรถาธิบายไว้หลายประการ แต่เน้นหนักในลักษณะหญิงกาลกิณี คือหญิงอัปมงคลต่อสามี ลักษณะของ
หญิงประเภทนี้ ท่านพิจารณาจากรูปร่างเป็นสำคัญ คือมีลักษณะเหมือนสตรีโทษนั่นเอง อีกประการหนึ่งคือหญิงที่มีความประพฤติไม่ดี เช่น ชอบนินทา เป็นชู้ ขี้เกียจ ดื้อดึง ท่าน
พิจารณาจากความประพฤติ ซึ่งประการหลังนี้น่าจะมีเหตุผลมากกว่า ซึ่งแยกออกได้ ๒ ประเภทดังนี้
             ๒.๑ ลักษณะสตรีโทษ อัปมงคลต่อสามีและครอบครัวไม่เจริญรุ่งเรืองในชีวิต
             ๒.๒ ลักษณะหญิงที่มีจิตใจชั่ว คตินิยมของชาวอีสานเชื่อว่าความชั่วดื้อรั้น กิเลสตัณหาทั้งหลายนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการอบรมแต่เพียงอย่างเดียว แต่ลักษณะเหล่านี้เกิดมา
พร้อมกับชีวิต คือเป็นมาตั้งแต่เกิด ฉะนั้นจากใจความตอนนี้จะเห็นว่าโลกทัศน์ของชาวอีสานอันเนื่องด้วยธรรมชาติของมนุษย์ กลับมองเห็นว่ามนุษย์อาจชั่วมาแต่กำเนิด ซึ่งโดย
ปกติแล้วชาวอีสานจะมองเห็นว่ามนุษย์เป็นผู้บริสุทธิ์มาแต่กำเนิดความชั่วทั้งหลายแหล่นั้นเกิดขึ้นเพราะความหลงผิดมนุษย์ฉะนั้นแนวคิดนี้น่าจะได้มาจากที่อื่น กล่าวคือน่าจะได้
แนวคตินิยมจาก ทักษาพยากรณ์ ก็น่าจะเป็นได้ แต่อย่างไรก็ตามกฎเกณฑ์ต่างๆ อันปรากฏในเรื่องท้าวคำสอนนี้ น่าจะเป็นเครื่องสังวรใจของชายที่กำลังคิดจะหาคู่ครองเท่านั้น
การกำหนดจากรูปร่างลักษณะทางร่างกาย ซึ่งไม่น่าจะเป็นความจริงทุกประเด็น ดังนี้

     หญิงใดขนตาเหี้ยนทางปลายยอดยิ่ง
แม่โฉม รูปงามดังห้อยบาท้าวอย่าเอา แท้เนอ     
หญิงนั้นรู้ขึ้นคร้านเข็นฝ้ายมักนอน แท้แด้
แม่นว่าเป็นเมียใผก็บ่เป็นเรือนเหย้า
(เข็นฝ้าย-ปั่นฝ้าย บาท้าว-ชายหนุ่ม)

          หญิงใดผมถอยขึ้นตาแหลวหลวงจับหน้าผาก
มันนั้นใจพาโลเหลือส่อสนคำเว้า
หญิงนั้นตั้งถ่อยร้ายควรเว้นหลีกไกล ท้าวเอย
สบข้างใต้มันพับยื่นยาว
ท่อแต่เก็บคำเว้านินทาป้อยด่า
(ตาแหลว-เครื่องหมาย, กะเหลว สบ-ปาก ส่อสน-พูดเท็จ ท่อแต่-เพียงแต่ ป้อย-แช่ง, ด่า ถ่อย-ต่ำช้า)

          ๓. โวหารเชิงนารีปราโมทย์ ใจความในเรื่องท้าวคำสอนนั้นไม่เพียงแต่ให้แนวคิด คตินิยมในการเลือกสตรีมาเป็นคู่ครองเท่านั้น แต่ยังปรากฏว่ามีโวหารยอดเยี่ยมในการ
เกี้ยวพาราสีระหว่างหนุ่มสาว และคงจะเป็นประเด็นสำคัญของเรื่องไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการทำนายลักษณะของสตรีเพศที่ยกมาให้ดูแล้วข้างต้น คำผญาภาษิตในเรื่องท้าวคำสอนนี้
ส่วนใหญ่เป็นการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวที่เราเรียกกันว่า ผญาเครือ ซึ่งโวหารที่ปรากฏอยู่ในเรื่องท้าวคำสอนนี้หนุ่มสาวในสมัยโบราณคงจดจำมาพูดเกี้ยวพาราสีกันอยู่เนื่องๆ

             ๓.๑ โวหารที่ฝ่ายชายจะขอความรักจากหญิง กวีก็ได้อุปมาไว้ว่า “ดอกบัวย่อมไม่หนีน้ำ จันทร์ย่อมไม่หนีเขาพระสุเมรุ เจ้าอย่าได้ตัดเยื่อใยพี่เลย พี่เหมือนม้าหิวน้ำมาพบ
บ่อน้ำก็เพียงแต่ยืนมอง หรือเหมือนกับปลาหมอขาดน้ำย่อมเป็นเหยื่อแก่นกกา”
             ๓.๒ โวหารหญิงที่กล่าวตอบการเกี้ยวพาราสีของชาย กวีได้ร้อยกรองไว้ไพเราะมาก และเป็นโวหารของท้องถิ่นที่สาวมักจะกล่าวตอบโต้การเกี้ยวของชายหนุ่มเสมอๆ
ดังนี้
             สาวเมื่อมีใจรักชายก็ต้องนิ่งไว้ เหมือนดอกไม้ต้องเอาไม้สอยจึงจะได้ดมกลิ่น ชายเหมือนจระเข้ต้องตีหางถึงชาวประมงจะรู้ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น

          โอนอแนวหญิงนี้คือกันกับดอกท่มนั่นแล้ว
แนวนามเชื้อ สกุลหญิงยศต่ำ
แนมท่อแข้บ่ตีหางให้ชาวมองบ่รู้เมื่อใดแล้ว
นกบ่กูร์ณาแร้วป๋าจินายดิ้นอยู่ป่มๆ อ้ายเอย
คันว่าอ้ายบ่หาไม้หมิ้นดวงดิ้วบ่หล่นลง พี่เอย
หญิงหากสุขอยู่ย่อนบุญสร้างพร่ำผัว แท้แล้ว
บ่มีใผซิรู้ได้มีแข้เงือกงู
แร้วบ่เปื้องปลิ้นหน้ากาแร้งก็หล่ำดาย นั่นแล้ว
(ท่ม-ดอกไม้ประเภทกระทุ่ม ดั้ว-อวบ, อวบอ่อน ย่อน-เพราะ ไม้หมิ้น-ไม้สอย แนมท่อ-หากว่า, ผิว่า แข้-จระเข้ เปลื้องปลิ้น-เหวี่ยงไกว ป๋า-ทิ้ง, ร้าง ปล่อยปละหล่ำดาย-มองดูเฉยๆ, ชำเลืองดูเฉยๆ)

             ๓.๓ โวหารหญิงที่แสดงว่ารักชายแต่เกรงว่าวาสนาไม่ถึงก็เหมือนกับหมายจันทร์ถึงจะร่ำไห้จันทร์ก็ไม่เอนเอียงลงมาเพราะว่าน้องเป็นเหมือนนาเรื้อหวังเพียงกล้าแก่
กล้าอ่อนมีมากแต่ไม่อาจประสงค์ น้องมีใจรักอยากจะได้เคียงคู่ แต่เกรงว่ากบจะร้องแต่เดือนห้า ฝนไม่ตกข้าวของที่ปลูกไว้ก็เฉาตายเปล่า ๆ ดังนี้

          พ่อชายนั้นคือจันทร์เทิงฟ้าดาราเคียงคู่ นั่นแล้ว
ชาตินาทามเรื้อประสงค์หาแต่กล้าแก่
น้องได้ดอม จิตตั้งประสงค์ชายเรียงร่วม พี่เอย
น้องปลูกหมากแค้งไว้กลางไร่ก้ได้ป๋า
อันนี้มีแต่ลมมาต้องบ่มีฝนจักห่า
หญิงแสนซิร้องร่ำไห้บ่มิได้เหนิ่งจันทร์ ได้แล้ว
กล้าอ่อนมีบ่แพ้นาเรื้อบ่ประสงค์
ย่านท่อ คือกบเขียดร้องเดือนห้าก่อนฝน
ปลูกหมากอึแตงไว้กลางนาทิ่มเปล่าดาย
(เทิง-บน, ข้างบน เหนิ่ง-โอน, เอน, เนิ้ง ก็ว่า แพ้-ชนะ ตรงข้ามกับพ่าย หมากแค้ง-มะเขือพวง ป๋า-ทิ้ง, ร้าง, ปล่อยปละ หมากอึ-ฟักทอง ทิ่ม-ทิ้ง, ทอดทิ้ง)



เอกสารอ้างอิง
...........................................................................................................................

ธวัช ปุณโนธก. สารานุกรมวัฒนธรรมไทย. มปป
http://www.bl.msu.ac.th/bailan/vanagum/vanagum5.asp สืบค้นเมื่อ วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๗
www. http://pantip.com/topic/30737251 สืบค้นเมื่อ วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๗
http://www.oknation.net/blog/buzz/2012/10/15/entry-1 สืบค้นเมื่อ วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๗