วิเคราะห์คำสอนใน 
                อิศรญาณภาษิต 
                 
                 
                 
                โดย...นายชัยณรงค์ 
                 อกอุ่น 
                ครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย 
                โรงเรียนโพธิ์ไทรพิทยาคาร 
                อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี 
                อีเมล์ 
                : makkaaot@gmail.com 
                (เนื้อหาและภาพประกอบเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน) 
              | 
         
       
        
        
                  อิศรญาณภาษิตเรียกอีกอย่างว่า 
        เพลงยาวอิศรญาณ เป็นพระนิพนธ์ของหม่อมเจ้าอิศรญาณ ซึ่งเล่ากันว่าเป็นผู้มีพระจริตไม่ปกติ 
        ครั้งหนึ่งพระองค์ได้ทำสิ่งวิปริตไปแล้ว 
        พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตรัสบริภาษว่าเป็นบ้า ทำให้ใคร ๆ ก็พากันเห็นด้วยกับพระราชดำรัสนั้น 
        ด้วยความน้อยพระทัยของหม่อมเจ้าอิศรญาณจึงทรงนิพนธ์เพลง 
        ยาวฉบับนี้ขึ้น มีผู้สันนิษฐานว่าอิศรญาณภาษิตนี้ ไม่ใช่พระนิพนธ์ของหม่อมเจ้าอิศรญาณแต่เพียงผู้เดียว 
        หากแต่ทรงนิพนธ์ไว้เพียงตอนแรกเท่านั้น กล่าวคือ สันนิษฐานว่าทรง 
        นิพนธ์ถึงวรรคว่า ปุถุชนรักกับชังไม่ยั่งยืน ซึ่งมีลีลาการแต่งไว้ด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมประชดประชันอย่างรุนแรง 
        ชัดเจนส่วนที่เหลือเป็นของผู้อื่นแต่งต่อ โดยเป็นการสอนเรื่อง 
        ทั่วๆ ไป มีลีลาหรือท่วงทำนองแบบเรียบๆ มุ่งสั่งสอนตามปกติของผู้มีประสบการณ์ในเรื่องต่างๆ 
        ซึ่งได้นำมาเรียบเรียงไว้ทั้งหมด 
      
         
             
               
              
                 
                   
                      ข้อมูลภาพ 
                      ณ วันที่ 11-10-58  | 
                 
               
                 | 
         
       
       
                  อิศรญาณเป็นวรรณคดีที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสอน 
        โดยเฉพาะเรื่องการปฏิบัติตนที่จะทำให้อยู่ในสังคมอย่างเป็นปกติสุข ดังนั้น 
        การอ่านวรรณคดีประเภทนี้จึงเป็นประโยชน์ 
        อย่างยิ่งกับสังคมไทยในปัจจุบันซึ่งผู้อ่านจะได้ข้อคิดต่าง ๆ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ 
        โดยขึ้นอยู่กับวัยและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ดังต่อไปนี้ 
         
                  ๑. 
        การมีน้ำใจ 
        มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ ดังนั้น ถ้าจะอยู่ในสังคมให้ได้จึงต้องมีการถ้อยทีถ้อยอาศัยให้อภัยซึ่งกันและกัน 
        ดังบทประพันธ์ 
      
         
                    ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสารโบราณว่า 
              เราก็จิตคิดดูเล่าเขาก็ใจ  | 
          น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอัชฌาสัย 
            รักกันไว้ดีกว่าชังระวังการ...ฯ | 
         
       
       
                  จากบทประพันธ์ข้างต้นชี้ให้เห็นว่า 
        การพึ่งพาอาศัยกันเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้มนุษย์อยู่รอด แม้กระทั่งธรรมชาติยังพึ่งพาอาศัยกันมนุษย์ก็ควรที่จะรู้จักการพึ่งพา 
        รู้จักการ 
        ให้อภัย ให้มีความรักและสามัคคีไว้ดีกว่าการเกลียดชังที่จะไม่สร้างผลดีให้แก่ฝ่ายใด 
         
                  ๒. 
        การเข้าสังคมและการปฏิบัติตนต่อผู้อื่น ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ย่อมมีการติดต่อสื่อสารแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นซึ่งกันและกัน 
        ในบางครั้งความขัดแย้ง 
        อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น อิศรญาณภาษิตจึงได้สั่งสอนในเรื่องการปฏิบัติตนต่อผู้อื่นในที่สาธารณชน 
        ดังบทประพันธ์ 
      
         
           
              คนสามขามีปัญญาหาไว้ทัก 
              เดินตามรอยผู้ใหญ่หมาไม่กัด
  | 
          จะเรียนคมเรียนเถิดอย่าเปิดฝัก 
            ที่ไหนหลักแหลมคำจงจำเอา 
            ปพูดขัดเขาทำไมขัดใจเขา...ฯ 
             | 
         
       
       
                  จากบทประพันธ์กวีได้แสดงทัศนะเพื่อสั่งสอนให้แนวคิดและข้อคิดเกี่ยวกับการวางตนในสังคม 
        โดยเริ่มจากการหาความรู้ให้แก่ตน การเข้าสังคมให้รู้จักเลือกคบคนที่มี 
        ปัญญาความรู้เพราะเขาจะนำพาไปสู่หนทางที่ดีงาม และอีกประการคือการพูดจาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่น 
        ไม่ควรไปพูดขัดคอหรือขัดใจ หรือถ้าหากระหว่างการสนทนา 
        เกิดเหตุการณ์ไม่พอใจในคำพูดของกันและกัน ควรที่จะทำให้สถานการคลี่คลายลง 
        ไม่ควรบาดหมางกัน 
         
                  ๓. 
        หลักการฟัง ในชีวิตประจำวันของมนุษย์จะต้องใช้ทักษะทั้ง ๔ ประการในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น 
        ไม่ว่าจะเป็นทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน ซึ่งใน 
        อิศรญาณภาษิตกวีได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการฟังไว้ ดังบทประพันธ์ 
      
         
          .......อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก 
              จงฟังหูไว้หูคอยดูไป  | 
          ไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว 
            เชื่อน้ำใจดีกว่าอย่าเชื่อยุ...ฯ | 
         
       
       
                  จากบทประพันธ์กวีได้แสดงแนวคิดเกี่ยวกับการฟังคือ 
        ให้รู้จักฟังหูไว้หู ไม่เชื่อคำพูดของผู้ใดง่าย และที่สำคัญต้องไม่หลงไปกับคำพูดยุยงซึ่งเป็นการฟังที่ไม่เกิดประโยชน์ 
        ต่อผู้ฟังแม้แต่น้อย 
         
                  ๔. การรับราชการ 
        โดยมุ่งเน้นเฉพาะผู้ที่ทำงานใกล้ชิดพระมหากษัตริย์ ดังบทประพันธ์ 
      
         
          ......เป็นข้าเฝ้าเหล่าเสวกามาตย์ 
              อย่าชิดอย่าให้ห่างเป็นกลางไว้ 
              มิควรทูลก็อย่าทูลประมูลข้อ  | 
          ยิ่งกว่าทาสทาสาข้าสินไถ่ 
            ฝ่ายข้างในอย่านำออกนอกอย่าแจง 
            จะเกิดก่อลุกลามความแสลง...ฯ | 
         
       
       
                  จากบทประพันธ์กวีได้สะท้อนข้อคิดประการสำคัญสำหรับผู้รับราชการที่จะต้องรู้จักการคิดควรไตร่ตรอง 
        ความในไม่นำออก ความนอกไม่นำเข้า เพราะจะทำให้เรื่องลุกลาม 
        ไปจากเดิม 
       
                  ๕. 
        การออมทรัพย์ สังคมมนุษย์ได้เปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานที่เคยเป็นระบบแลกเปลี่ยนสินค้ามาเป็นระบบเงินตราที่เป็นบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจ 
        อิศรญาณภาษิตได้ 
        ให้ข้อคิดประการหนึ่งที่ให้มนุษย์รู้จักการออม ดังบทประพันธ์ 
      
         
          ...หาเงินติดไถ้ไว้อย่าให้ขาด 
                            ตำลึงบาทหาไม่คล่องเพียงสองสลึง...ฯ  | 
         
       
       
                  จากบทประพันธ์กวีได้สะท้อนให้เห็นว่าเงินตราเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อมนุษย์ 
        แม้มีไม่มาก แต่ก็ควรเก็บหอมรอมริบไว้ใช้ในเมื่อคราจำเป็น 
       
                 ๖. การคบมิตร 
        ในปัจจุบันสังคมปะปนไปทั้งคนดีและคนไม่ดี ดังนั้นการมีหลักยึดในการคบมิตรจึงเป็นสิ่งสำคัญ 
        ซึ่งอิศรญาณภาษิตได้ให้ข้อคิดประการนี้ไว้ ดังบทประพันธ์ 
      
         
          ......อย่าคบมิตรจิตพาลสันดานชั่ว 
              คบนักปราชญ์นั่นแหละดีมีกำไร  | 
          จะพาตัวให้เสื่อมที่เสื่อมใส 
            ท่านย่อมให้ความสบายหลายประตู...ฯ | 
         
       
       
                  จากบทประพันธ์กวีได้แสดงทัศนะประการสำคัญคือ 
        การคบมิตรจะต้องเลือกคบบุคคลที่มีความรู้ ฉลาด และเป็นคนดีเพราะจะนำพาไปสู่หนทางที่เจริญ 
        ผิดกับคนพาลจะพา 
        เราไปสู่หนทางแห่งอบาย 
      
         
             
               
              
                 
                   
                      ข้อมูลภาพ 
                      ณ วันที่ 11-10-58
  | 
                 
               
                 | 
         
       
       
                  ๗. 
        การดูคน ในปัจจุบันเต็มไปด้วยผู้คนที่ต่างได้รับการอบรมมาไม่เหมือนกัน 
        อิศรญาณภาษิตให้ข้อคิดประการสำคัญในการศึกษาคน ดังบทประพันธ์ 
      
         
          .....ดูตระกูลดูกิริยาดูอากัป 
              ดูฉลาดเล่าก็เห็นที่เจรจา  | 
          ดูทิศจับเอาที่ผลต้นพฤกษา 
            ดูคงคาก็พึงหมายสายอุบล...ฯ | 
         
       
       
                  จากคำประพันธ์ข้างต้น 
        จะเห็นการศึกษาลักษณะนิสัยของคนว่าเป็นอย่างไร การดูคนจะพิจารณาจากที่มาของคนผู้นั้น 
        ผู้ที่มีกิริยามารยาทดีก็จะรู้ว่ามาจากตระกูลดี 
        ครอบครัวอบรมสั่งสอนดี จะดูทิศทางก็ให้สังเกตต้นไม้ เพราะคนโบราณจะปลูกต้นไม้ตามทิศเพื่อความเป็นสิริมงคล 
        ดูว่าเป็นคนดีมีปัญญาเฉลียวฉลจะดูจากการพูดจาปราศรัย 
        แม้เราเห็นแม่น้ำจะรู้ถึงความลึกตื้นก็ต้องดูที่สายบัวก่อน เมื่อรู้ดังนี้แล้วจะได้ปฏิบัติตามเพื่อให้เป็นที่นิยมชมชอบและรักใคร่ของผู้อื่น 
         
                  ๘. 
        ความสามัคคี ความสามัคคีเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ประเทศชาติยังธำรงอยู่ได้ 
        อิศรญาณภาษิตได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับคุณค่าของความสามัคคี โดยยกนิทานเกี่ยว 
        กับนกกระจาบมาเป็นตัวอย่าง ดังบทประพันธ์ 
      
         
          ......นกกระจาบเดิมหนักหนามากกว่าแสน 
              ครั้นภายหลังอวดกำลังต่างถือตน  | 
          ไม่เดือดแค้นสามัคคีย่อมมีผล 
            พรายก็ขนกระหน่ำมาพากันตาย...ฯ | 
         
       
       
                  จากบทประพันธ์ได้ให้ข้อคิดประการสำคัญคือ 
        ไม่ว่าที่ใดก็ตามถ้ามีความสามัคคี ที่นั้นย่อมดำรงอยู่ได้ แต่ถ้าเมื่อใดขาดความสามัคคีก็จะทำให้ทุกอย่างเสื่อมสูญ 
        เหมือนดั่งฝูงนกกระจาบที่ต้องตายเนื่องจากการแตกความสามัคคี 
         
                  ๙. 
        ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สังคมไทยเป็นสังคมที่ผูกพันอยู่กับพระพุทธศาสนา 
        ซึ่งมีส่วนในการกล่อมเกล่าจิตใจและพฤติกรรมของมนุษย์ให้อยู่บนครรลองของความดี 
        อิศรญาณภาษิตได้สะท้อนข้อคิดประการสำคัญที่มีความเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา 
        ดังบทประพันธ์ 
      
         
           
              ...ถ้าทำดีก็จะดีเป็นศรีศักดิ์                 ถ้าทำชั่วชั่วจักตามสนอง...ฯ  | 
         
       
       
                  จากบทประพันธ์ได้สะท้อนข้อคิดที่มีความเกี่ยวเนื่องกับพระพุทธศาสนา 
        คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว 
       
                  ๑๐. 
        ให้รู้จักเตือนตนเอง การที่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างสงบสุข 
        นอกจากการรู้จักบุคคลอื่นแล้ว ที่สำคัญต้องรู้จักจิตใจของตนเอง ดังบทประพันธ์ 
      
         
          ...เกิดเป็นคนเชิงดูให้รู้เท่า 
                           ใจของเราไม่สอนใจใครจะสอน...ฯ  | 
         
       
       
         
                  จากบทประพันธ์กวีได้แสดงทัศนะที่เป็นข้อคิดเตือนใจกับผู้อ่านให้มาสำรวจตนเอง 
        ความรู้บางประการอาจมีครูอาจารย์สอนได้ แต่ในบางเรื่องตนเองจะเป็นผู้สอนตนเอง 
        ได้ดีที่สุด 
         
                  การอ่านวรรณคดีประเภทคำสอน 
        ผู้อ่านไม่รู้สึกว่าตนกำลังได้รับการสั่งสอนโดยตรง เพราะความเพลิดเพลินในสำนวนโวหาร 
        ประโยชน์สูงสุดของอิศรญาณภาษิตคือ การได้ 
        คติเตือนใจ ได้แนวทางสำหรับการประพฤติตนเพื่อให้อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข 
        สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สัจธรรมคำสอนในเรื่องเป็นความจริงที่สามารถพิสูจน์ได้ 
        แม้ว่าจะเป็นเรื่อง 
        สั้นๆ แต่ก็ให้ประโยชน์แก่ผู้อ่านอย่างมหาศาล ถ้าผู้อ่านน้อมนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน 
       
         
        เอกสารอ้างอิง 
        ........................................................................................................................... 
         
         
        https://plus.google.com/+nopajornfuengfusakul/posts 
        https://non9279.wordpress.com/2012/12/18/th23102-m3-literature-isorayanphasit/ 
        http://i156.photobucket.com/albums/t12/naphason/Thai_Picture026.gif 
         
         
       
       |