ตามรอยเส้นทางผ้าไทย ๔ ภาค
       โดย...นายชินาทร  กายสันเทียะ
ประธานชมรมยุวชนมัคคุเทศก์พิพิธภัณฑ์ สำนักศิลปากรที่ ๑๒ นครราชสีมา
ต.โพธิ์กลาง อ.เมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา
อีเมล์ : rachachinakawin@gmail.com

(เนื้อหาและภาพประกอบเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน)



ข้อมูลภาพ ณ วันที่ 30-11-57

          ในช่วงเปิดศักราชใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๘ เทศกาลปีใหม่เช่นนี้ เป็นอีกหนึ่งเทศกาลแห่งความสุขเฉลิมฉลองของคนไทย และเป็นเทศกาลที่หลายท่านมองหาของขวัญสำหรับ
สวัสดีปีใหม่ญาติผู้ใหญ่ และบุคคลอันเป็นที่รัก ด้วยของขวัญที่คดสรรเป็นอย่างดีเพื่อมอบแก่ญาติผู้ใหญ่ เจ้านาย และเพื่อนร่วมงาน จึงอยากจะขอนำเสนออีกหนึ่งของขวัญที่เป็นที่
นิยมและเป็นเอกลักษณ์ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริงในโอกาสต่างๆ ผ้าไทยจึงเป็นอีกหนึ่งที่นิยมนำมอบในช่วงเทศกาลปีใหม่ นอกจากเป็นของขวัญที่แสดงถึงความกตัญญู
แล้ว ยังสะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนไทยในแต่ละภาคที่รังสรรค์ผ้าในภูมิภาคของตน ออกมาอย่างเป็นเอกลักษณ์และแฝงวัฒนธรรมท้องถิ่นอยู่ผ่านเส้นไหมที่ถักทอออกมาเป็นผืนผ้า
ที่งดงามทั้ง ๔ ภาค
          ผ้าพื้นบ้านภาคเหนือที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดคือ ผ้าไทยวน ผ้าไทลื้อ ผ้าของกลุ่มชนทั้งสอง ได้แก่ เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องบูชาตามความเชื่อที่ใช้ในพิธีกรรมต่างๆ โดย
เฉพาะผ้าซิ่นตีนจก ผ้านุ่งผู้หญิงของกลุ่มไทยวนและไทลื้อ แหล่งผลิตผลงานหัตถศิลป์หรือแหล่งทอผ้าซิ่นตีนจกที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายอยู่ที่ อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ถือได้
ว่าเป็นชุมชนหนึ่งที่มีการทอผ้าซิ่นตีนจกกันมากที่สุด ผ้าทอของแม่แจ่มมีเอกลักษณ์ในการทอหรือจกในลักษณะการคว่ำลาย ทำให้ลวดลายที่ได้สวยงาม ปราณีต เฉพาะแบบไม่
เหมือนใคร ผ้าซิ่นตีนจกแม่แจ่มยังถือเป็นศิลปหัตถกรรมท้องถิ่นล้านนา ที่สืบทอดเป็นมรดกทางวิถีชีวิตและวัฒนธรรม
          การทอผ้าตีนจกถือได้ว่าเป็นวิถีชีวิตของผู้คนที่นั่นอย่างชัดเจนที่สุด นับตั้งแต่ที่ผู้หญิงชาวแม่แจ่ม หรือในภาษาพื้นเมืองเรียกว่า แม่ญิงชาวแม่แจ่ม ได้เริ่มเรียนรู้วิธีการ
ทอผ้าในวัยสาวจนกระทั่งถึงบั้นปลายของชีวิต พวกเธอก็ยังทอผ้าอยู่เสมอที่เห็นได้ชัดเมื่อเวลามีงานบุญสำคัญต่างๆ แม่ญิงชาวแม่แจ่มก็จะนำผ้าตีนจกมานุ่งกัน ผ้าซิ่นตีนจกเป็น
มรดกจากบรรพบุรุษมาแต่โบราณกาลอันเกิดจากการประดิษฐ์คิดค้น และสร้างลวดลายขึ้นบนผืนผ้าด้วยการจก คือ การสอดหรือควักเส้นฝ้ายสีต่าง ๆ ที่พุงสลับกันเพื่อให้เกิดเป็น
รูปและลวดลายต่าง ๆ ขึ้นมา โดยใช้ขนเม่น โลหะ หรือ ไม้ปลายแหลมเป็นเครื่องมือ
           ซิ่นตีนจกนับเป็นงานทอผ้าที่มีกรรมวิธีการผลิตอันยาวนานมีสีสันและลวดลายที่วิจิตรงดงาม ชาวแม่แจ่มผูกพันลวดลายต่างๆ ไว้กับพระพุทธศาสนา เป็นเอกลักษณ์
เฉพาะตัว ซึ่งแสดงออกถึงความเพียรพยายาม ความละเอียดประณีต ในจิตใจของผู้ถักทอ จากสภาพสังคมที่สงบสุข ธรรมชาติที่งดงามหล่อหลอมและสร้างสรรค์งานหัตถกรรมที่
ทรงคุณค่านี้มาช้านานแล้ว
           การทอผ้าซิ่นตีนจกของชาวแม่แจ่ม ยังคงมีการสืบทอดกันมาจนถึงสมัยปัจจุบัน เราจะพบเห็นการทอผ้าตีนจกมากมายในหลายหมู่บ้าน ผ้าตีนจกโบราณที่ในอำเภอ
แม่แจ่มบางผืนมีอายุมากกว่า ๑๐๐ ปี ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมทอด้วยไหม ปัจจุบันยังมีเหลือให้ชมและศึกษาอยู่ในเขตตำบลท่าผา ,ตำบลช่างเคิ่ง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีการทอผ้าตีนจก
           สำหรับท่านที่เดินทางไปยังอำเภอแม่แจ่มนอกจากจะพบเห็นวิถี ชีวิตการทอผ้าของชาวบ้านแล้ว ที่อำเภอแม่แจ่มยังมีสถานท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมที่ล้ำค่า เช่น ภาพวาด
จิตรกรรมฝาผนังวัดป่าแดด โบสถ์กลางวัดที่วัดพุทธเอ้น พระพุทธรูปโบราณพระเจ้าตนหลวง ตลอดจนถึงการศึกษาวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชนเผ่า โดยเฉพาะชาวลัวะ ซึ่งถือ
เป็นกลุ่มชนดั่งเดิมของที่นี่ มีการดำรงชีวิตสืบทอดลูกหลานมาหลายร้อยปี


ข้อมูลภาพ ณ วันที่ 30-11-57

          ด้วยพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงสนพระราชหฤทัย ทรงสนับสนุนการทอผ้าพื้นเมือง โดยเฉพาะการทอผ้าไหมแพรวาของภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ ให้แพร่หลายเป็นที่รู้จักอย่างมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นผลให้เกิดการตื่นตัวที่จะอนุรักษ์และพัฒนาการทอผ้าพื้นเมืองในภูมิภาคอื่นๆ ของไทย
เราให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น เป็นที่นิยมของคนไทยที่ใช้ตัดเย็บเป็นเครื่องแต่งกาย
          ผ้าแพรวา เป็นชื่อเฉพาะที่เรียกผ้าชนิดหนึ่ง ที่ใช้สำหรับคลุมไหล่หรือห่มสไบเฉียงของชาวผู้ไท ซึ่งใช้ในเทศกาลงานบุญ หรืองานสำคัญอื่นๆ เป็นผ้าที่ทอด้วยมือ แพร
หมายถึง ผ้า วา หมายถึงความยาวของผ้า ๑ วา คำว่า แพรวา จึงมีความหมายว่า ผ้าที่มีความยาวประมาณ ๑ วา
          ผ้าไหมแพรวากาฬสินธุ์ เป็นผ้าไหมที่ทอประดิษฐ์ลวดลายด้วยการขิด และการจก ใช้เส้นไหมตีเกลียวเป็นทั้งเส้นยืนและเส้นพุ่ง รวมทั้งมีเส้นไหมเพิ่มพิเศษในการทำให้
เกิดลวดลายตามกรรมวิธีที่ปราณีตของชาวผู้ไทย ที่เป็นมรดกทางหัตถกรรมที่ถ่ายทอดสืบกันต่อมา
          ชาวผู้ไท เป็นกลุ่มชนที่อพยพมาจากประเทศจีนตอนใต้ ข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่แถบเทือกเขาภูพาน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเป็นส่วนใหญ่ โดยยัง
รักษาวัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ การแต่งกาย และการทอผ้าไหม ผู้หญิงจะถูกฝึกทอผ้าแพรวาตั้งแต่อายุ ๙ – ๑๕ ปี ชาวผู้ไทยที่ทอผ้าแพรวาส่วนใหญ่จะอยู่ที่บ้านโพน อำเภอ
คำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ที่มีภูมิปัญญาในการทอผ้าไหมด้วยการเก็บลาย หรือเก็บขิดแบบจกที่มีลวดลายโดดเด่นที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
ประกอบการเลือกใช้เส้นไหมน้อย หรือไหมยอดที่มีความเลื่อมมัน ผ้าไหมแพรวาถือว่าเป็นของล้ำค่าและมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตของชาวผู้ไทจังหวัดกาฬสินธุ์อย่างแท้จริง
          เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสนิกรในอำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ได้ทอดพระเนตรเห็นชาว
ผู้ไทแต่งชุดพื้นเมือง ห่มสไบเฉียงแพรวาสีแดง ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกลได้ทรงพระราชทานเส้นไหมให้แก่ชาวบ้านโพน เพื่อทอผ้าแพรวาถวาย และโปรดให้รับงานทอผ้าไว้ใน
โครงการศิลปาชีพในพระบรมราชินูปถัมภ์และทรงโปรดเกล้าฯให้มีการพัฒนาการทอผ้าไหมแพรวา จนทำให้ผ้าแพรวาเป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วไป
          กลุ่มทอผ้าไหมแพรวาบ้านโพน อำเภอคำม่วง อยู่ห่างจากจังหวัดกาฬสินธุ์ ๗๐ กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข ๒๒๗ ผ้าแพรวาเป็นผ้าไหมลายมัดหมี่ที่มีลายเอกลักษณ์
เฉพาะตัวของกลุ่มทอผ้าชาวผู้ ไทบ้านโพน แบ่งออกเป็น ๒ ลาย ได้แก่ ลายหลัก และลายแถบ ส่วนสีของผ้าแพรวามิได้มีเพียงสีแดงเท่านั้น แต่มีการให้สีสันต่างๆ มากขึ้นตาม
ความต้องการของตลาด เช่น สีครีม สีชมพูอ่อน สีม่วง สีน้ำเงิน สีเขียว เป็นต้น นับได้ว่าการทอผ้าแพรวาเป็นงานศิลปหัตถกรรมประเภทสิ่งทอที่หาได้น้อยแห่งในประเทศไทย
         
ในบริเวณแถบภาคกลาง ยังมีผ้าทอมือของกลุ่มคนไทยเชื้อสายไทยวนหรือไทโยนก ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีขนบประเพณีและวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับชาวไทยวนหรือคนเมืองใน
ล้านนา เชื่อกันว่าไทยวนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในภาคกลางนั้น ส่วนมากอพยพมาจากเมืองเชียงแสนในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อให้พ้นจากอิทธิพลของพม่าที่มัก
เข้ามาตีเมืองเชียงแสนแล้วใช้เป็นที่สะสมเสบียงก่อนที่จะเข้ามารุกรานหัวเมืองทางเหนือของไทย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช จึงโปรดเกล้าฯให้อพยพ
ชาวเมืองไทยวน ไปอำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี กลุ่มชาวไทยวน ไปบริเวณอำเภอเมืองราชบุรี และอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี
          ผ้าซิ่นตีนจกของชาวไทยเชื้อสายไท-ยวน ตำบลคูบัว อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรีถือได้ว่าเป็นผ้าซิ่นตีนจกที่ทอกันในแถบภาคกลางที่งดงามคล้ายคลึงกับทางภาค
เหนือ ซึ่งนิยมต่อหัวซิ่นด้วยผ้าพื้นสีแดงและสีขาว ตัวซิ่นนิยมทอด้วยสีเข้ม มีลายเป็นริ้วๆ หรือทอยกเป็นลายเล็กๆ ขวางตัวซิ่น ตีนซิ่นตกแต่งด้วยลายจกจนเกือบสุดตีนซิ่น แล้ว
คั่นด้วยแนวเล็กๆ
          กลุ่มทอผ้าชาวไทยวนราชบุรีได้แก่ กลุ่มทอผ้าตำบลคูบัว ตำบลดอนแร่ และกลุ่มทอผ้าบางกระโด อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี การทอผ้าของกลุ่มชนเลห่านี้ ยังมี
เอกลักษณ์ของผ้าไทยวนชัดเจน แต่ละกลุ่มอาจมีลวดลายเฉพาะที่เป็นรสนิยมของกลุ่มแตกต่างกันไป เช่น
          ผ้าซิ่นตีนจกของกลุ่มคูบัว ส่วนที่เป็นตีนซิ่นนิยมใช้เส้นยืนสีดำเพื่อให้จกเป็นลายได้ชัดเจน ลายที่นิยมทอเป็นลายพื้นบ้าน เช่น ลายดอกเซีย ลายโก้งเก้ง ลายนกคู่กินน้ำ
ร่วมต้น
          ผ้าซิ่นตีนจก กลุ่มดอนแร่ นิยมทอผ้าซิ่นตีนจก ที่จกลายติดกันแน่น ทำให้ลายไม่ชัดเจน นิยมใช้สีดำและแดง มักทอเชิงจกกว้างประมาณ ๑๔-๑๕ นิ้ว ซี่งกว้างกว่าตีนจก
กลุ่มคูบัว
          ผ้าซิ่นตีนจก กลุ่มหนองโพนิยม ทอลายหงส์คู่กินน้ำร่วมต้น รูปแบบคล้ายคลึงกับกลุ่มคูบัว และมีลักษณะคล้ายกับซิ่นตีนจกของชาวไทยวนในล้านนามาก
          ผ้าทอไทยวนราชบุรีทั้ง ๓ กลุ่ม นอกจากจะทอผ้าซิ่นตีนจกแล้ว ยังทอผ้าชนิดอื่นด้วย เช่น ผ้าซิ่นสำหรับใช้สอยประจำวัน ได้แก่ ซิ่นแหล้ หรือซิ่นสีกรมท่าที่ใช้นุ่งอยู่กับบ้าน
ซิ่นตา สำหรับหญิงสาวนุ่งออกงาน ผ้าเบี่ยง สำหรับคลุมไหล่ นอกจากนี้ก็มีผ้าขาวม้า ผ้าลายต่างๆ
          สำหรับจุดชมงานศิลปะผ้าซิ่นตีนจกไท-ยวน นั้น อยู่ที่ ศูนย์สืบทอดศิลปะผ้าจก วัดแคทราย ตำบลคูบัว อำเภอเมืองราชบุรี เก็บรักษาผ้าจกที่มีลวดลายดั้งเดิม มีการสาธิต
การทอผ้าและจำหน่ายสินค้าพื้นเมือง ส่วนจุดอื่นๆก็มีที่ กลุ่มทอผ้าพื้นเมืองดอนแร่ กลุ่มทอผ้าจกคุณยายซ้อน และศูนย์ทอผ้าจกวัดรางบัว


ข้อมูลภาพ ณ วันที่ 30-11-57

           หากลงไปทางหัวเมืองปักษ์ใต้ หรือภาคใต้ของประเทศไทยแล้ว ผ้าที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับกันในแถบนี้ คงจะเป็น ผ้ายกเมืองนคร หรือผ้าทอเมืองนคร เป็นผ้าทอ
พื้นเมืองของชาวนครศรีธรรมราช เป็นผ้าทอที่มีชื่อเสียงในอดีตโดยเฉพาะ “ผ้ายกทอง”
          ความเป็นมาของการทอผ้าเมืองนคร การทอผ้ายกที่นครศรีธรรมราชมีหลักฐานว่า ชาวเมืองนครศรีธรรมราชได้แบบอย่างมาจากแขกไทรบุรี กล่าวคือสมัยที่เมืองไทยบุรี
เป็นกบฏ เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช คือ เจ้าพระยานคร (น้อย) ได้ยกกองทัพไปปราบปราม ขากลับได้กวาดต้อนครอบครัวเชลยเข้ามายังเมืองนครศรีธรรมราชเป็นจำนวนมาก
ได้พวกช่างมาไว้หลายพวก เช่น ช่างหล่อโลหะประสม ช่างทอง ช่างเงิน และช่างทอผ้า สำหรับพวกช่างทอผ้าให้อยู่บริเวณทางด้านตะวันตกของตัวเมือง คือ ในตำบลมะม่วงสอง
ต้นอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช และตำบลนาสาร อำเภอพระพรหมในปัจจุบัน ช่างพวกนี้ได้ถ่ายทอดความรู้แก่กันกับช่างพื้นเมืองที่มีอยู่ก่อน จึงทำให้การทอผ้าในสมัยนั้นพัฒนา
ขึ้นกว่าสมัยก่อน ๆ มาก
          ผ้ายกเมืองนคร เป็นชื่อเฉพาะหมายถึงผ้าทอพื้นเมืองของจังหวัดนครศรีธรรมราชที่ทอสืบต่อกันมา แต่โบราณ ด้วยการทอยกเพิ่มลวดลายด้วยเส้นพุ่งพิเศษ ทำให้เกิดลาย
นูนบนผืนผ้า มีลายกรวยเชิงชั้นเดียวหรือกรวยเชิงซ้อนกันหลายชั้น และกรวยเชิงขนานกับริมผ้า โดยดัดแปลงนำลายอื่นมาเป็นลายกรวยเชิง
          ผ้ายกเมืองนคร เป็นผ้าที่ได้รับการยกย่องมาแต่โบราณว่าสวยงามแบบอย่างผ้าชั้นดีเป็นที่ต้องการในหมู่ชนชั้นสูงช่างทอผ้านครศรีธรรมราชจึงมีชื่อเสียงด้านฝีมือในการ
ทอผ้ายกเป็นเลิศ ตั้งแต่ในอดีต รู้จักกันแพร่หลายคน ทั่วไปกล่าวติดปากกันว่า ถ้าจะซื้อผ้าดี ๆ จะต้องหาซื้อ ผ้ายกเมืองนคร โดยเฉพาะผ้ายกทอง
          ที่บ้านมะม่วงปลายแขน เป็นชุมชนที่ยังอนุรักษ์การทอผ้าเมืองนคร ที่มีลายเอกลักษณ์ของจังหวัดนครศรีธรรมราช มีการทอลวดลายดั้งเดิมได้แก่ ลายราชวัติ ลายสับปะรด
ลายดอกมะลิ ลายดอกเขมรกลม ลายดอกพิกุล ลายแมงมุมก้านแย่ง ลายดอกเขมร ลายดอกจัน ลายดอกรัก ลายเขมรหรือลายพระตะบอง ลายลูกแก้ว ลายคดกริชเป็นต้น นอก
จากนั้นยังพบลวดลายอื่น ๆ อีกมากที่ไม่ทราบชื่อทั้งที่เป็นลายดั้งเดิมสืบทอดแต่ไม่ได้จดจำชื่อลาย และเป็นลายที่ประยุกต์ขึ้นมาในภายหลัง โดยการเปลี่ยนสีและพัฒนาลวดลาย
เพิ่มเติมเข้าไปจากลวดลายเดิม เช่นก้าน ดอก ใบ เกสร ของพรรณไม้ต่าง ๆ เพื่อให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น เป็นต้น และเป็นสถานที่จัดจำหน่าย ผ้ายกเมืองนคร และยังมีการแสดงการ
ทอผ้ายกให้ชมอีกด้วย สำหรับบ้านมะม่วงปลายแขน ตั้งอยู่ ถนนนพวงศ์(นครศรีธรรมราช-ตรัง) ตำบลท่างิ้ว อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช กิโลเมตรที่ ๑๓
          และที่ได้รวบรวมมานี้เป็นสุดยอดผ้าไหมที่เป็นที่นิยมที่ขึ้นชื่อในภาคต่างๆ ทั้ง ๔ ภาค และนอกจากนี้ยังมีผ้าไหม และผ้าต่างๆในภูมิภาคต่างๆที่ไม่ได้กล่าวถึง แต่ก็มี
คุณภาพดีและมีเอกลักษณ์เช่นกันที่เป็นผลผลิตจากฝีมือหัตถศิลป์ของราษฎรในท้องถิ่นต่างๆที่ถักทอออกมาเพื่อสวมใส่และในปัจุบันก็ได้มีการส่งเสริมเป็นอาชีพที่แพร่หลายทำ
กันเป็นชุมชนได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเป็นการส่งเสริมผลผลิตที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นต่างๆ ที่ผลิตให้คนในชาติได้สวมใส่ในโอกาสที่เหมาะสมสง่างาม
สมกับเป็นคนไทยที่มีวัฒนธรรมประเพณีที่งดงาม



เอกสารอ้างอิง
...........................................................................................................................

๑. ถมรัตน์ สีตังวรานนท์. ปทานุกรมผ้าไทย. กรุงเทพ : สมาคมอุตสาหกรรมสิ่งทอไทย, ๒๕๓๓.
๒. สาวิตตรี สุวรรณสถิต, สารานุกรมไทยส าหรับเยาวชนฯ เล่มที่ 21 ศิลปะการทอผ้าพื้นเมืองของ
ไทยในปัจจุบัน. กรุงเทพ : ส านักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, ๒๕๕๐.
๓. สุมาลย์ โทมัส. ผ้าพื้นเมือง. กรุงเทพ : สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๒๕.