ความดันโลหิตสูงกับตัวเรา
โดย...คุณณัฐธยาน์   อธิปัญจพงษ์
อาชีพ นิสิตนักศึกษา
ต.บางกร่าง อ.เมือง จ.นนทบุรี
อีเมล์ : natthaya375@gmail.com

(เนื้อหาและภาพประกอบเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน)



          ไม่กี่ปีที่ผ่านมาทั่วโลกมีผู้ป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงจำนวนประมาณกึ่งหนึ่งของประชากรทั่วโลก แม้ว่าโรคความดันโลหิตสูงนี้ อาจฟังดูแล้วไม่ได้ให้ความรู้สึกรุนแรง
เท่ากับโรคมะเร็ง แต่ทว่าโรคนี้กลับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะต่างๆตามมา เช่น ภาวะจอประสาทตาเสื่อมตามอายุชนิดมีหลอดเลือดงอกใหม่ โดยภาวะนี้เป็นสาเหตุที่
สำคัญที่ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการตาบอดชนิดถาวร หรือนอกจากภาวะต่างๆที่ตามมาแล้วผลข้างเคียงของโรคก็มีความรุนแรงเช่นกัน เช่น โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคหลอดเลือด
หัวใจอุดตัน ดังนั้นแม้ว่าจะไม่มีอาการของโรคปรากฏให้เราสังเกตุได้อย่างชัดเจน เราก็ควรที่จะคอยใส่ใจ เอาใจใส่ต่อสุขภาพของตัวเราเองอย่างสม่ำเสมอ เช่นตรวจสุขภาพ
ร่างกายเป็นประจำ หรือ ดูแลร่างกายตนเองให้แข็งแรงอย่างง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อนอย่างเพียงพอ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เนื่องจากการที่เราสามารถลด
ความดันโลหิตได้นั้น จะสามารถลดโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆเช่น ลดโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมอง 30-35% ลดโอกาสเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ 20-25% และสามารถ
ลดโอกาสเกิดโรคหัวใจวายได้ถึง 50 %

ภาพจาก Web Site
http://siamhealth.net/public_html/Disease/heart_disease/Hypertension/index.htm#.VqedSDZZHzI
ข้อมูลภาพ ณ วันที่
27-1-59


          แม้ว่าอาการของโรคความดันโลหิตสูงจะไม่ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน อีกทั้งยังเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดเลยได้ หากแต่ผู้ป่วยยังมีความโชคดีเนื่องจากผู้ป่วย
สามารถดูแลรักษาให้อาการความรุนแรงของโรคเบาบางลงได้ อาการของโรคความดันโลหิตสูงที่เราสามารถรู้สึกได้ด้วยตนเองมีดังนี้

1. ปวดศีรษะหรือมึนศีรษะ
          ที่จริงแล้วอาการปวดศีรษะมักเกินจากสาเหตุต่างๆมากมาย เช่น ไข้หวัด การพักผ่อนไม่เพียงพอ การดื่มสุรามากเกินไป หรือจากโรคต่างๆอาทิเช่น โรคจมูกอักเสบเป็น
หนอง รวมถึงโรคความดันโลหิตสูงนี้ด้วย แล้วเราจะสามารถแยกอาการปวดศีรษะที่มีสาเหตุมาจากโรคความดันโลหิตสูงได้อย่างไร ?

ภาพจาก Web Site
https://ascannotdo.wordpress.com/tag/ปวดศีรษะ/
ข้อมูลภาพ ณ วันที่
27-1-59


          อาการปวดศีรษะจากโรคความดันโลหิตสูงนั้นมีสาเหตุมาจากเมื่อความดันโลหิตสูงขึ้น หลอดเลือดในสมองจะตึงตึวมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เรามีอาการปวดศีรษะบริเวณ
หลอดเลือดเยื่อหุ้มสมองตรงด้านนอกของสมอง หรือบางครั้งอาจเกิดจากการที่กล้ามเนื้อที่ศีรษะตึง หรือกล้ามเนื้อไหล่ถึงคอตึงจนแผ่ไปยังบริเวณศีรษะ แต่ถ้าหากเรามีอาการปวด
บริเวณท้ายทอยแล้วอาจสันนิษฐานก่อนก็ได้ว่าเป็นอาการปวดศีรษะเนื่องมาจากความดันโลหิตสูง ซึ่งมีสาเหตุมาจากความตึงตัวของหลอดเลือดในสมองเปลี่ยนแปลง สมองบวม
และแรงดันในสมองเพิ่มขึ้น
          หากอาการปวดมีความรุนแรง รวมถึงมีอาการคลื่นไส้อาเจียนประกอบ การพบแพทย์ก็ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการรักษาจากอาการปวด

2. เมื่อยเอวปวดหลัง
          อาการเมื่อยเอวปวดหลังนี้อาจปรากฏอาการในบางราย ซึ่งอาการนี้ก็มิใช่อาการที่บ่งบอกถึงโรคความดันโลหิตสูงเสียทีเดียวเช่นกันกับอาการปวดศีรษะ เนื่องจากคนทั่วไป
ที่เริ่มเข้าสู่วัยกลางคนก็ย่อมมีอาการปวดเนื้อเมื่อยตัวเช่นนี้ได้ อีกทั้งถ้าเราอยู่ในอิริยาบทท่าเดิมไปนานๆก็อาจส่งผลให้มีอาการปวดเมื่อยตัวได้เช่นกัน

3. หูอื้อ
          เป็นอาการหนึงที่เกิดจากโรคความดันโลหิตสูง แต่หากหูชั้นกลางอักเสบ หรือ โลหิตจางก็ย่อมทำให้เกิดอาการนี้ได้เช่นกัน

ภาพจาก Web Site
http://korigashi.exteen.com/20120427/entry
ข้อมูลภาพ ณ วันที่
27-1-59


4. หน้ามืดตาลาย

          โรคที่ท่อครึ่งวงกลมสามารถส่งผลให้เกิดอาการหน้ามืดตาลายได้เช่นกัน โดยอาการจากสองโรคนี้จะมีความแตกต่างกันที่โรคความดันโลหิตสูงจะก่อให้มีความรู้สึกวิงเวียน
หน้ามืดตาลายเล็กน้อยบ้างเท่านั้น จะไม่รุนแรงเหมือนอย่างที่มีสาเหตุมาจากท่อครึ่งวงกลม

5. มือเท้าชาเปลี้ย
          อาการมือเช้าทาเปลี้ยที่เกิดจากโรคความดันโลหิตสูงจะชาตามมือ ตามเท้ารวมถึงระบบกระดูกและกล้ามเนื้อส่วนใหญ่ด้วย และจะชาเป็นเวลานาน ท้ายที่สุดจะก่อให้เกิด
อาการตายซีกซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ สามารถทำได้เพียงบำบัดให้ดีขึ้นเท่านั้น

          นอกจากอาการที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น การป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงนี้จะส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้นจนมีอาการหัวใจห้องล่างซ้ายโต ถ้าหากเราสามารถบรรเทา
อาการให้คงที่ได้ หรือรักษาให้อาการดีขึ้นได้ก็ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลมากนัก แต่หากเราไม่สามารบรรเทาอาการได้แล้ว เป็นที่น่ากลัวว่าอาจเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวซึ่งอาจมีผลต่อ
ชีวิตได้ อีกทั้งโรคความดันโลหิตสูงหากเราไม่จริงจังในการดูแลแล้วปล่อยทิ้งให้คงภาวะความดันสูงต่อไป หลอดเลือดแดงของไตจะแย่ลงเรื่อยๆ และเนื้อเยื่อก็จะตาย สิ่งเหล่านี้ส่ง
ผลให้ไตไม่อาจทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ ของเสียในร่างกายก็จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายจะก่อให้เกิดโรคเลือดเป็นพิษจากปัสสาวะแทรกซ้อนได้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตราย
ถึงแก่ชีวิตได้เช่นกัน
          โดยทั่วไปแล้ว คนเราทุกคนไม่อาจที่จะรักษาหรือบรรเทาอาการเจ็บป่วยของตนเองให้ดีขึ้นได้โดยการลองผิดลองถูกโดยปราศจากการการรู้ถึงสาเหตุหรือปัจจัยเสียงที่อาจ
ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยน้ันๆได้ ดังนั้นก่อนที่เราจะเริ่มดูแลตนเอง พัฒนาตนเอง เพื่อบรรเทาอาการป่วยด้วยโรคความดันเลือดสูง เราจึงมีความจะเป็นที่จะต้องรู้ถึงปัจจัยเสี่ยง
ต่างๆทั้งหลายที่ก่อให้เกิดโรคทั้งปัจจัยจากภายในร่างกาย และปัจจัยจากภายนอกร่างกาย แม้ว่าเราไม่อาจแก้ไข ลด หรือยกเลิกพฤติกรรมทั้งหมดหรือสาเหตุทั้งหมดได้ ปัจจัยเสี่ยง
ที่ส่งผลให้มีอาการป่วยด้วยโรคความดันเลือดสูงได้แก่

1. ปัจจัยภายนอก
          1) การวัดค่าความดันที่ไม่ถูกต้อง
               เนื่องจากความดันโลหิตของคนเราทุกคนมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพียงแค่ขยับตัวลุกขึ้นยืนความดันโลหิตของเราก็จะเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันหากเราล้มตัวลงนอน
ความดันโลหิตของเราก็จะลดลง ดังนั้นหากวัดค่าความดันโดยไม่ถูกต้องหรือถูกวิธีแล้ว ค่าความดันของเราก็อาจมีค่าสูงจนน่าตกใจได้เลยทีเดียว
          2) น้ำหนักตัวของเราเอง
               เนื่องจากคนที่มีน้ำหนักตัวมากจะมีโอกาสสูงกว่าคนทั่วไปที่จะป่วยเป็นโรคความดันโลหิตนี้ประมาณ 2-6 เท่า ดังนั้น เราจึงต้องมีการควบคุมน้ำหนักตัวของเราให้อยู่ใน
เกณฑ์มาตรฐาน
          3) การเคลื่อนไหวของตัวเรา
               หากว่าโดยปกติทั่วไปแล้ว ชอบมากกว่าที่จะนั่งนิ่งๆ หรืออยู่เฉยๆ ถึงเวลาแล้วค่ะที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะจากงานวิจัยพบว่า ผู้ที่ทำตัวกระฉับกระเฉงจะมี
โอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูงน้อยกว่าผู้ที่ชอบนั่งนิ่งๆติดเก้าอี้ถึงร้อยละ 20-50 เลยทีเดียว
          4) โภชนาการไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่ถูกไม่ควร
                จากการศึกษาเกี่ยวกับอาหารที่สามารถรักษาความดันโลหิตสูง DASH (Dietary Approaches to Stop Hypertension) พบว่าการรับประทานอาหารที่ดีมี
ประโยชน์ต่อสุขภาพจะช่วยลดความดันโลหิตสูงได้ ดังนั้น ผู้ที่ชอบทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่นอาหารมันๆ ควรที่จะเปลี่ยนมาบริโภภคอาหารเพื่อสุขภสพของตัวเราเองกัน

ภาพจาก Web Site
http://www.foodnavigator.com/Science/Eating-junk-food-makes-a-bad-mood-worse-Study
ข้อมูลภาพ ณ วันที่
27-1-59


          5) การบริโภคเกลือ
               จากงานวิจัย “ไวกับเกลือ” (salt-sensitive) พบว่าหากจำกัดการทานเกลือความดันโลหิตจะลดลง ต่อมามีงานวิจัยล่าสุดพบว่าการจำกัดเกลือในอาหารที่รับประทานมี
ผลให้ความดันโลหิตลดลง ทั้งจากผู้ป่วยความดันสูง และผู้ที่มีความดันในระดับปกติ
          6) ขาดโพแทสเซียม
               เนื่องจากโพแทสเซียมจะช่วปรับสมดุลระดับโซเดียมในร่างกายดังนั้นจึงควรรับประทานโพแทสเซีมให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แม้ว่าในร่างกายคนเราจะมี
โพแทสเซียมมากเป็นอันดับสามก็ตาม โดยเราสามารถเพิ่มระดับโพแทสเซียมในร่างกายได้ด้วยการเลิกรับประทานอาหารจำพวกถั่วต่างๆ รวมถึงผักและผลไม้ด้วย
          7) ความเครียด
               ความเครียดหรือเหตุการณ์กระทบกระเทือนทางอารมณ์อาจส่งผลให้ความดันโลหิตมีค่าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้แล้ว ความกังวลและการซึมเศร้าก็ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อ
การเกิดความดันโลหิตสูงขึ้นเป็น 2 เท่าเช่นกัน
          8) การสูบบุหรี่
               บุหรี่ส่งผลเสี่ยต่อร่างกายเรามากมาย หนึ่งในผลเสียนั้นก็คงหนีไม่พ้น โรคความดันโลหิตสูง ดังนั้นผู้ที่สูบบุหรี่จึงควรหาวิธีที่สามารถทำให้ตนเองเลิกบุหรี่ได้โดยเด็ดขาด
ส่วนผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ก็ไม่ควรที่จะลองสูบบุหรี่หรือเข้าใกล้บริเวณพื้นที่ที่มีการสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันมิให้ตนเองได้รับควันบุหรี่โดยตรง เนื่องจากการอยู่ในบริเวณนั้น จะทำให้เราได้รับ
สารพิษต่างๆ เช่นสารนิโคติน หรือสารน้ำมันดิน โดยตรงในปริมาณที่สูง

ภาพจาก Web Site
http://www.thaihealth.or.th/Content/27071-มาเลิกบุหรี่กันเถอะ.html
ข้อมูลภาพ ณ วันที่
27-1-59

          9) ดื่มแอลกอฮอล์
               แม้ว่าการดื่มแอลกอฮอล์จะส่งผลให้ผู้ที่ดื่มมีโอกาสป่วยเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ แต่ต้องดื่มในปริมาณที่พอดีพอเหมาะเท่านั้น เนื่องจากการดื่มใน
ปริมาณที่มากจนเกินไปนั้น จะส่งผลให้ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้ ดังนั้นดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ควรเกินวันละ 2 แก้ว
       10) ไม่รับประทานยาลดความดัน
               บางทีการควบคุมพฤติกรรมการดำเนินชีวิตอย่างจริงจังนั้น มิอาจส่งผลให้ความดันโลหิตลดน้อยลงในบางราย ดังนั้นยาลดความดันจึงเป็นเรื่องจำเป็น หากพิกเฉยไม่
ทานยาตามเวลาที่กำหนดไว้แล้ว หรือไม่ยอมทานในชนิดที่แพทย์สั่งจ่ายมา ก็อาจส่งผลให้ความดันยังคงสูงอยู่ไม่ลดลง

2. ปัจจัยภายใน
          แม้ว่าเราไม่อาจแก้ไขปัจจัยนี้ได้โดยตรง แต่หากเราทราบถึงปัจจัยภายในนี้ เราก็จะสามารถดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
          1) อายุ
              เป็นความจริงที่ว่าเมื่ออายุมากขึ้น โอกาสเสี่ยงป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงจะมากขึ้นตามไปด้วย แต่เป็นจริงสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศอุตสาหกรรมเท่านั้น
เพราะประชาชนในแอฟริกา หรือประเทศที่ต้องใช้แรงงานเป็นหลัก และทานอาหารที่มีเกลือและไขต่ำอยู่เสมอมักมีความดันอยู่ในระดับปกติแม้จะมีอายุมากแล้วก็ตามดังนั้น
ผู้เชี่ยวชาญหลายคนจึงสรุปได้ว่า ความดันโลหิตสูงมิใช่ภาวะอันเนื่องมาจากการแก่ชรา หากแต่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตในช่วงวัยกลางคน ซึ่งส่วนใหญ่มัก
จะออกกำลังน้อย หรือ ทานอาหาร ผักผลไม้ ที่มีประโยชน์ไม่เพียงพอ
          2) เพศหญิงหรือเพศชาย
               เมื่อผู้ชายและผู้หญิงมีอายุน้อยกว่า 55 ปี พบว่า เพศชายมีแนวโน้มเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าเพศหญิง หากแต่ในทางกลับกัน เมื่อผู้หญิงและผู้ชายมีอายุมาก
กว่า 55 ปี พบว่า เพศหญิงจะมีความดันโลหิตสูงในระดับเดียวกันกับเพศชาย และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงกว่าผู้ชายอีกด้วย สาเหตุหนึ่งพบว่าผู้หญิงที่ป่วยเป็นโรคอ้วน หรือมี
ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ หรือป่วยด้วยโรคไต หรือคนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นความดันโลหิตสูง หากรับประทานยาคุมกำเนิดจะสามารถก่อให้เกิดความดันโลหิตสูงได้

ภาพจาก Web Site
http://km.saard.ac.th/external_newsblog.php?links=572
ข้อมูลภาพ ณ วันที่
27-1-59

          3) พันธุกรรม
               จากฐานข้อมูลพบว่าผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงร้อยละ 30-60 อาจเกิดจากพันธุกรรม ผู้ที่มีพ่อแม่เป็นโรคความดันโลหิตสูงจึงมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไป นอกจาก
นี้แล้ว จากงานวิจัยพบว่า ผู้ที่มีพี่หรือน้องป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจจะมีโอกาสป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงขึ้น
          แม้ว่าในปัจจุบัน การรักษาโรคความดันโลหิตสูงนั้นจะมีหลากหลายแนวทาง เช่น การรักษาความดันตามแนวทางการรักษาของยุโรป หรือ การใช้ยาลดความดันโลหิต หรือ
การใช้ยาชนิดเคียวรักษาโรคความดันโลหิตสูงหากแต่วิธีการที่สำคัญที่สุดนั้นได้แก่ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และจากข้อมูลข้างต้น ส่วนใหญ่ในเรื่องของปัจจัยที่อาจก่อให้เกิด
โรคได้นั้นก็ล้วนเป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับตัวเราเอง ทั้งการที่เราเป็นสาเหตุโดยที่เราอาจแก้ไขได้ หรือไม่อาจแก้ไขได้ ดังนั้น เราจึงควรเริ่มดูแลรักษาตัวเราเอง หมั่นตรวจสุขภาพ
วัดความดันเป็นประจำทุกปี เพื่อที่จะทราบถึงความเสี่ยงที่ตัวเราเองมีต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูงนี้ และที่สำคัญที่สุดคือเริ่มจากวิธีการที่เราสามารถที่จะทำได้ง่าย หากเรา
สามารถที่จะทำวิธีแรกได้แล้ว เราก็จะมีกำลังใจที่จะเริ่มทำในวิธีการอื่นๆ เช่น เราอาจเริ่มจากการเคลื่อนไหวตัวให้กระฉับกระเฉง จากนั้นเราอาจหาเวลาที่เหมาะสมเพื่อ
ออกกำลังกาย เป็นต้น




เอกสารอ้างอิง
...........................................................................................................................

อดุลย์ รัตนมั่นเกษม. (2533). ความดันโลหิตสูง. (หน้า 40-49). กรุงเทพมหานคร : รุ่งแสงการพิมพ์.
ซูซาน เพอร์รี่. (2550). ลดความดันโลหิตสูงอย่างได้ผล. (หน้า 13-25). กรุงเทพมหานคร : รีดเดอร์ส ไดเจสท์.
http://siamhealth.net/public_html/Disease/heart_disease/Hypertension/women.htm#.VqedsjZZHzI
http://siamhealth.net/public_html/Disease/heart_disease/Hypertension/treatment.htm#.VqeepjZZHzI